วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

 ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน

หลายประเทศยังคงลังเลที่จะดำเนินโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกชนิดรุนแรง เนื่องจากความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้า ดร.เดวิด สเวย์น ที่ปรึกษาจาก สถาบันสัตวแพทย์เฉพาะทางโรคไข้หวัดนก กล่าวว่า ทัศนคติแบบนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยเขาได้กล่าวในเวทีเสวนาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายใต้หัวข้อ “ร่วมกันรับมือไข้หวัดนกชนิดรุนแรง” ซึ่งจัดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองฟอซ โด อิกวาซู ประเทศบราซิล

หนึ่งในข้อกังวลหลักเกี่ยวกับผลกระทบทางการค้า คือความกลัวว่าสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกอาจมีการสัมผัสกับเชื้อไวรัสผ่านกระบวนการฉีดวัคซีน อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากประเทศที่มีการฉีดวัคซีนจะเป็นพาหะนำเชื้อเข้าสู่ประเทศผู้นำเข้า ในระหว่างการประชุม มีผู้เข้าร่วมคนหนึ่งตั้งคำถามกับคณะผู้เสวนาว่า ความกลัวเหล่านี้มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ และเคยมีกรณีที่ไข้หวัดนกชนิดรุนแรง แพร่จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งโดยมีสาเหตุจากการฉีดวัคซีนหรือไม่ ดร.เดวิด สเวย์นได้อาสาตอบคำถามนี้ด้วยตนเอง

“เท่าที่ผมทราบ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากประเทศที่มีการให้วัคซีนจะเป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อไวรัส” ดร. เดวิด สเวย์น กล่าว เขาย้ำถ้อยคำที่เคยกล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๖๗ ในการประชุมมาตรฐานชีววิทยาเชิงระหว่างประเทศ ว่าด้วยการเฝ้าระวังสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

“เราจำเป็นต้องทบทวนคำศัพท์ที่เราใช้เกี่ยวกับการให้วัคซีน เพราะในความเป็นจริง การให้วัคซีนทำให้สัตว์ปีกมีความต้านทานต่อการติดเชื้อสูงมาก และด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนจึงปลอดภัยกว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน เพราะคุณได้ทำให้พวกมันมีภูมิต้านทาน ไม่ว่าจะเป็นไก่ ไก่งวง หรือแม่ไก่ไข่” สเวย์นกล่าว

“เราจำเป็นต้องเปลี่ยนกรอบความคิดครั้งใหญ่ เพราะผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนนั้นปลอดภัยกว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน เนื่องจากโอกาสที่พวกมันจะติดเชื้อมีน้อยกว่ามาก”

ดร.เดวิด สเวย์น เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการและนักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการวิจัยสัตว์ปีกภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ สังกัดกระทรวงวิจัยการเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา  เมืองเอเธนส์ รัฐจอร์เจีย กล่าวว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนนั้นมีรากฐานมาจากการศึกษาประสิทธิภาพทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการศึกษาที่ใช้สำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ มากกว่าการศึกษาทางชีววิทยาในภาคสนาม

เขากล่าวว่า ในการศึกษาสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ จำเป็นต้องใช้การทดสอบด้วยปริมาณเชื้อสูง ในสถานการณ์เช่นนั้น “บางครั้งอาจพบการเพิ่มจำนวนของไวรัสและการแพร่กระจายออกจากตัวสัตว์” อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า ผลลัพธ์ที่พบในการทดลองด้วยปริมาณเชื้อสูงนั้น ไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนในภาคสนาม

เอกสารอ้างอิง

Graber R. 2025. Fears of importing vaccinated poultry based on misconceptions. [Internet]. [Cited 2025 Sep 15]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-meat/diseases-health/avian-influenza/news/15755405/fears-of-importing-vaccinated-poultry-based-on-misconceptions

ภาพที่ ๑ เปลี่ยนกรอบความคิดสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน (แหล่งภาพ USPOULTRY) 



วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568

ภัยโลกร้อน!!! อุปสรรคใหม่คุมหวัดนกในออสเตรเลีย

 สภาพอากาศสุดขั้วที่มีฝนตกหนัก พื้นที่ที่เคยแห้งแล้งอาจกลายเป็นแหล่งน้ำชื้น ดึงดูดนกป่าที่อาจเป็นพาหะนำไวรัสเข้ามาในพื้นที่

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจไม่ใช่คำที่ถูกกล่าวถึงบ่อยนักในการสนทนาเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัจจัยนี้อาจมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันไม่ให้ฝูงสัตว์ปีกติดเชื้อไวรัส ดร.โรบิน ออลเดอร์ส สัตวแพทย์และศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ขณะอธิบายสถานการณ์ในประเทศออสเตรเลีย โดยออลเดอร์สเป็นหนึ่งในวิทยากรของเวทีเสวนา “ร่วมกันรับมือไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง” จัดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองฟอซ โด อิกวาซู ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ ๙ ถึง ๑๑ กันยายน

ออสเตรเลียสามารถหลีกเลี่ยงการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ได้จนถึงเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.๒๕๖๗ ก่อนที่ประเทศจะพบการติดเชื้อในฝูงสัตว์ปีก โดยมีหนึ่งฝูงติดเชื้อสับไทป์เอช ๗ เอ็น ๙  สี่ฝูงติดเชื้อเอช ๗ เอ็น ๘ และเจ็ดฝูงติดเชื้อเอช ๗ เอ็น ๓ หนึ่งในปัจจัยสำคัญตามที่ ดร.โรบิน ออลเดอร์สระบุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศทำให้ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกควบคุมไม่ให้นกป่าที่อาจเป็นพาหะนำไวรัสเข้าใกล้ฝูงสัตว์ได้ยากขึ้น

ในปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมและผู้ผลิตสัตว์ปีกรายใหญ่ให้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดวางพื้นที่ฟาร์มให้ห่างจากแหล่งน้ำชื้นหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ” เธอกล่าว “แต่ความท้าทายที่ออสเตรเลียกำลังเผชิญคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เรากำลังเผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วบ่อยครั้งมากขึ้น และเมื่อเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องหลายปี พื้นที่ที่นกป่ามองว่าเป็นแหล่งน้ำชุ่มก็เปลี่ยนไป ทำให้การกระจายตัวของนกป่าก็เปลี่ยนตามไปด้วย เนื่องจากมีพื้นที่ที่พวกมันมองว่าเหมาะสมสำหรับอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น”

เตือนการให้อาหารสัตว์

ตามข้อมูลของออลเดอร์ส ฟาร์มสัตว์ปีกที่ได้รับผลกระทบจากโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ในออสเตรเลียส่วนใหญ่เป็นฟาร์มแบบปล่อยเลี้ยง การวางจุดให้อาหารในฟาร์มเหล่านี้อาจเพิ่มโอกาสที่สัตว์ป่าที่อาจติดเชื้อจะเข้ามาสัมผัสกับฝูงสัตว์ปีก “การเลือกวางอาหารในตำแหน่งที่สัตว์ป่าเข้าไม่ถึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ก็ยังคงเป็นความท้าทายอยู่” เธอกล่าว

ออสเตรเลียปลอดโรคไข้หวัดนกในปัจจุบัน

องค์การสุขภาพสัตว์โลก ระบุว่า ขณะนี้ไม่มีรายงานการระบาดของโรคในออสเตรเลีย โดยสถานการณ์การติดเชื้อเอช ๗ เอ็น ๙ ในสัตว์ปีกเชิงพาณิชย์ได้รับการแก้ไขแล้วในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๗ ส่วนการระบาดของเอช ๗ เอ็น ๓ และเอช ๗ เอ็น ๘ ได้รับการแก้ไขในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๖๘

อย่างไรก็ตาม เอช ๗ เอ็น ๘ ได้กลับมาระบาดอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ โดยพบในฝูงสัตว์ปีก ๔ แห่งในออสเตรเลีย แต่สถานการณ์ดังกล่าวได้รับการควบคุมและได้รับการแก้ไขแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

เอกสารอ้างอิง

Graber R. 2025. How climate change hurts fight against avian flu in Australia. [Internet]. [Cited 2025 Sep 11]. Available from: https://www.wattagnet.com/blogs/agrifood-angle/blog/15755184/how-climate-change-hurts-fight-against-avian-flu-in-australia

ภาพที่ ๑ พื้นที่ที่เคยแห้งแล้งอาจกลายเป็นแหล่งน้ำชื้น ดึงดูดนกป่าที่อาจเป็นพาหะนำไวรัสเข้ามาในพื้นที่ (แหล่งภาพ ZambeziShark | Bigstock)  






วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

องค์การอาหารแนะหกขั้นภาครัฐรับมือหวัดนก

 ผู้เข้าร่วมเวทีประชุมองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ได้ร่วมกันระดมความคิดและจัดทำข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการรับมือกับการระบาดของไข้หวัดนกอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้เข้าร่วมการประชุมระดับโลกว่าด้วยไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง หรือเอชพีเอไอ ได้ร่วมกันระดมความคิดและจัดทำข้อเสนอแนะ ๖ แนวทางที่หน่วยงานภาครัฐทั่วโลกสามารถนำไปใช้เพื่อรับมือกับการระบาดของเอชพีเอไอ อย่างรวดเร็ว ในการประชุมสามวันภายใต้หัวข้อ “ร่วมกันรับมือไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง” จัดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองฟอซ โด อิกวาซู ประเทศบราซิล ผู้เข้าร่วมได้แบ่งกลุ่มอภิปรายในช่วงบ่ายของวันที่ ๑๐ กันยายน และในเช้าวันถัดมา แกรี ฟลอรี ผู้ก่อตั้งโครงการป้องกันและควบคุมโรคระบาดโลก ได้อ่านข้อสรุปบางส่วนที่ได้จากการระดมความคิดเห็นของแต่ละกลุ่ม หนึ่งในข้อเสนอที่แกรี ฟลอรีนำเสนอเกี่ยวข้องกับบทบาทของรัฐบาลในการรับมืออย่างรวดเร็วต่อการระบาด โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

๑.     การเข้าถึงงบประมาณฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว “เมื่อเกิดการระบาดขึ้น ไม่ใช่เวลาที่เราจะเริ่มค้นหางบประมาณเพื่อรับมือ” ฟลอรีกล่าว “เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” โดยเสนอว่า รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน และควรทำให้กองทุนเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุจำเป็น

๒.    การสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ควรกำหนดแนวทางปฏิบัติ และจัดตั้งทีมเฉพาะสำหรับการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภายใน เพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างราบรื่น ฟลอรีกล่าวว่า การใช้ระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ดียิ่งขึ้น และเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

๓.    บุคลากรและทีมตอบสนองที่ผ่านการฝึกอบรม บุคลากรที่มีหน้าที่รับมือกับการระบาดจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม และการฝึกอบรมเหล่านั้นควรดำเนินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ตอบสนอง เช่น สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น มีความคุ้นเคยกับภารกิจที่ต้องปฏิบัติ นอกจากนี้ การจัดการฝึกซ้อมและจำลองสถานการณ์จริงก็มีความสำคัญ เพื่อให้บุคลากรเหล่านั้นสามารถนำทักษะที่ได้รับจากการอบรมและฝึกภาคปฏิบัติไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง

๔.    การจัดซื้อและการสำรองอุปกรณ์ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และเครื่องมือจำเป็นอื่น ๆ ไม่เพียงแต่ต้องมีพร้อมใช้งานเท่านั้น แต่ยังต้องได้รับการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ หน่วยงานภาครัฐควรจัดทำข้อตกลงระยะยาวเพื่อให้สามารถจัดซื้ออุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการระบาด

๕.    การใช้เทคโนโลยีข้อมูล มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการนำเทคโนโลยีข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาการวินิจฉัยโรค หรือเพื่อการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์ในลักษณะรวมศูนย์

๖.     การมีส่วนร่วมของชุมชน รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจกับชุมชนผ่านการรณรงค์ด้านการศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้ โดยสามารถเผยแพร่ข้อความเหล่านี้ผ่านโรงเรียน โบสถ์ ผู้นำท้องถิ่น และหน่วยส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์

เอกสารอ้างอิง

Graber R. 2025. 6 ways governments can aid with rapid response to HPAI. [Internet]. [Cited 2025 Sep 10]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-meat/diseases-health/avian-influenza/news/15755092/6-ways-governments-can-aid-with-rapid-response-to-hpai

ภาพที่ ๑ การใช้สเปกโตรเมทรีอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการควบคุมสุขาภิบาลในกระบวนการผลิตสัตว์ปีก (แหล่งภาพ DH Saragih I Shutterstock.com)



วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568

พลิกโฉมสุขาภิบาลโรงงานสัตว์ปีกด้วยสเปกโตรเมทรี

 อุปกรณ์แบบพกพาที่ใช้ระบบแมชชีนเลิร์นนิงในการตรวจจับสิ่งปนเปื้อนบนพื้นผิว ให้ค่าการวัดความสะอาดที่แม่นยำมากกว่าวิธีการตรวจสอบที่ใช้อยู่ในโรงงานปัจจุบัน

เครื่องสเปกโตรมิเตอร์แบบพกพาที่ใช้การวัดสีและการเรืองแสง สามารถตรวจจับการปนเปื้อนอินทรีย์จากสัตว์ปีกบนพื้นผิวสัมผัสอาหารได้อย่างรวดเร็ว อาจเปลี่ยนแปลงวิธีการตรวจสอบความสะอาดของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารอย่างสิ้นเชิง “เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์ปีกในกระบวนการตรวจสอบความสะอาด” คลาร์ก กริสคอม นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ กล่าว

วิธีการตรวจสอบความสะอาดในปัจจุบัน ยังคงพึ่งพาการตรวจสอบด้วยสายตาและการเก็บตัวอย่างด้วยไม้สวอบ แบบดั้งเดิม ใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้ผล นอกจากนี้ วิธีเหล่านี้มักไม่สามารถตรวจพบการปนเปื้อนตกค้างที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของน้ำยาฆ่าเชื้อได้อย่างแม่นยำ

การวัดความสะอาดที่แม่นยำ

เครื่องสเปกโตรโฟโตมิเตอร์แบบวัดสี สามารถแยกแยะความแตกต่างของสีบนพื้นผิวที่บ่งชี้ถึงการปนเปื้อนได้อย่างละเอียด ขณะที่เครื่องไบโอฟลูออโรมิเตอร์สามารถตรวจจับกรดอะมิโนและสารเรืองแสงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคราบอินทรีย์ ด้วยความสามารถของระบบแมชชีนเลิร์นนิง อุปกรณ์นี้สามารถประเมินระดับเปอร์เซ็นต์ของการปนเปื้อนบนพื้นผิวได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับข้อมูลเชิงปริมาณเกี่ยวกับความสะอาด แทนที่จะพึ่งพาการประเมินแบบอิงความรู้สึกหรือสายตาเพียงอย่างเดียว

ข้อได้เปรียบหลักของเทคโนโลยีนี้อยู่ที่การป้องกันการเรียกคืนสินค้าและความล่าช้าในการผลิตที่มีต้นทุนสูง โดยสามารถตรวจจับการปนเปื้อนก่อนที่กระบวนการผลิตจะเริ่มขึ้น แทนที่จะพบปัญหาเมื่อผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ผู้ประกอบการสามารถระบุและแก้ไขปัญหาด้านสุขาภิบาลได้ทันที ช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเรียกคืนสินค้าและการดำเนินการตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างมีนัยสำคัญ การทดสอบในห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบได้ยืนยันถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ในการตรวจจับการปนเปื้อนจากสัตว์ปีกที่เกินขีดจำกัดของการตรวจสอบด้วยสายตา

ในอนาคต กริสคอมมีความหวังว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ร่วมกับหุ่นยนต์ที่สามารถสแกนอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ และตรวจจับบริเวณที่ต้องการการทำความสะอาดเพิ่มเติมได้อย่างแม่นยำ

เอกสารอ้างอิง

Doughman E. 2025. Spectrometry could simplify poultry processing sanitation. [Internet]. [Cited 2025 Sep 4]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-future/poultry-tech-summit-news/news/15754591/spectrometry-could-simplify-poultry-processing-sanitation

ภาพที่ ๑ การใช้สเปกโตรเมทรีอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการควบคุมสุขาภิบาลในกระบวนการผลิตสัตว์ปีก (แหล่งภาพ DH Saragih I Shutterstock.com)


 

 

 

 

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2568

ยาเปลี่ยนเกม จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

 ยากลุ่มจีแอลพี-๑ อย่างโอเซมพิก มีฤทธิ์ลดความอยากอาหารและช่วยลดปริมาณแคลอรีที่บริโภคลงประมาณร้อยละ ๒๐ หรือ ๘๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของผู้คนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และสารปรุงแต่งต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ตามความเห็นของ นายเอเดน คอนนอลลี ประธานบริษัทแอ็กริเทค แคปิตอล จำกัด

ยาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรักษาโรคเบาหวานในตอนแรก กำลังส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาเลือกบริโภคโปรตีนที่มีไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีไขมันสูง ปัจจุบันมีผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ใช้ยากลุ่มนี้แล้วกว่า ๑๕.๕ ล้านคน และคาดว่าการใช้งานจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๙ ภายในปี พ.ศ.๒๕๗๓  ขณะที่ตลาดยากลุ่มจีแอลพี-๑  มีมูลค่าราว ๑.๕ ล้านล้านบาทอาจขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่าภายในปี พ.ศ.๒๕๗๕ ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต้องทบทวนแนวทางใหม่เพื่อรองรับตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยสุขภาพเป็นหลัก

ความต้องการอาหารสัตว์สำหรับเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ผู้บริโภคที่ใช้ยากลุ่มจีแอลพี-๑ กำลังเปลี่ยนพฤติกรรม โดยหันหลังให้กับเนื้อวัวและเนื้อหมูซึ่งมีไขมันสูง และหันมาเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่หรือปลา แนวโน้มนี้ส่งผลกระทบต่อความต้องการอาหารสัตว์สูตรพลังงานสูง เช่น ส่วนผสมของข้าวโพดและถั่วเหลืองที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มน้ำหนักสัตว์เลี้ยง ผู้ผลิตอาจต้องปรับสูตรใหม่ให้เหมาะกับสายพันธุ์ที่เน้นความลีน โดยให้ความสำคัญกับสารอาหารประเภทโปรตีนและส่วนประกอบที่ย่อยได้ง่ายมากกว่าสูตรดั้งเดิม

สารปรุงแต่งในอาหารสัตว์ก็ได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มไขมันและน้ำหนักตัวอาจถูกลดการใช้งานลง ขณะที่สารปรุงแต่งที่ส่งเสริมการดูดซึมโปรตีน สุขภาพลำไส้ หรือการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อแบบลีน เช่น กรดอะมิโนชนิดป้องกันการย่อย โปรไบโอติกหรือเอนไซม์เสริม กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การสำรวจในประเทศแคนาดาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๖  พบว่าผู้ใช้ยากลุ่มจีแอลพี-๑ มีการบริโภคอาหารแปรรูปลดลงถึงร้อยละ ๓๐ สะท้อนถึงความต้องการอาหารสัตว์ที่สนับสนุนการผลิตเนื้อสัตว์การสนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ที่มีความลีนมากขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในหลายมิติ โดยแม้ว่าผลผลิตรวมอาจลดลงเล็กน้อยร้อยละ ๐.๕ ถึง ๑ ในช่วงสิบปีข้างหน้า แต่ตลาดเนื้อแดงอาจเผชิญกับการหดตัวที่รุนแรงกว่ามอร์แกน สแตนเลย์ คาดการณ์ว่าการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงจะลดลงร้อยละ ๔ ภายในปี พ.ศ.๒๕๗๘ จะสร้างแรงกดดันต่อกลยุทธ์ด้านอาหารสัตว์และสารปรุงแต่งที่ผูกกับการผลิตเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง

ผู้ผลิตปรับสูตรอาหารสัตว์ไปสู่รูปแบบที่มีสารอาหารเข้มข้นหรือเน้นเส้นใยมากขึ้น

การรองรับการเลี้ยงสัตว์ที่เน้นความลีน ขณะเดียวกัน การใช้ที่ดินทางการเกษตรอาจเปลี่ยนจากการปลูกพืชอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ไปสู่พืชที่สนับสนุนห่วงโซ่โปรตีนลีน เช่น พืชตระกูลถั่วหรืออัลฟัลฟา ในด้านสิ่งแวดล้อม การผลิตสัตว์ที่มีความลีนมากขึ้นอาจช่วยลดของเสียและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คล้ายกับผลการศึกษาของสายการบินในสหรัฐฯ ที่พบว่าการลดน้ำหนักผู้โดยสารลงเพียง ๑๐ ปอนด์ต่อคนสามารถช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง ๑๐๐ ล้านลิตรต่อปีที่มีไขมันสูงลดลงตามไปด้วย

โปรตีนทางเลือก – แล้วผลิตภัณฑ์ลูกผสมล่ะ?

การใช้ยากลุ่มจีแอลพี-๑ ที่เพิ่มขึ้นกำลังผลักดันให้เกิดการพิจารณาโปรตีนทางเลือกมากขึ้น แม้ว่าเนื้อจากพืชที่ผ่านกระบวนการสูงอาจเผชิญกับความท้าทาย หากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับโปรตีนจากธรรมชาติ แต่ผลิตภัณฑ์ลูกผสมที่ผสานโปรตีนจากสัตว์และพืชอาจได้รับความนิยมมากขึ้น สารเสริมในอาหารสัตว์ที่สนับสนุนการผลิตโปรตีนลูกผสมเหล่านี้จะต้องช่วยเพิ่มความหนาแน่นของสารอาหารและประสิทธิภาพในการผลิต

นอกจากนี้ ความยั่งยืนจะมีบทบาทมากขึ้น โดยสูตรอาหารสัตว์ที่ช่วยเพิ่มการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นเนื้อสัตว์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับความนิยมในตลาดที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

จุดเปลี่ยนสำคัญ

อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และสารเสริมอาหารสัตว์กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ผู้ผลิตจำเป็นต้องคาดการณ์ถึงความต้องการอาหารสัตว์ที่สนับสนุนการผลิตเนื้อที่มีไขมันสูงที่อาจลดลง พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับการเลี้ยงสัตว์ที่เน้นความยั่งยืนและเนื้อที่มีไขมันต่ำ รวมถึงปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มโปรตีนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ที่สามารถปรับตัวได้ โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพทางโภชนาการ การเจริญเติบโตแบบเน้นคุณภาพ และสารเสริมที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ จะสามารถเติบโตได้ในตลาดที่ให้ความสำคัญกับการเลือกสรรและสุขภาวะมากขึ้น เมื่อยากลุ่มจีแอลพี-๑ เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคทั่วโลก ภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์จึงต้องปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของอนาคตที่เน้นความกระชับและความพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

Connolly A. 2025. The drug that might force the animal feed sector to rethink its approach. [Internet]. [Cited 2025 Sep 8]. Available from: https://www.poultryworld.net/the-industrymarkets/market-trends-analysis-the-industrymarkets-2/the-drug-that-might-force-the-animal-feed-sector-to-rethink-its-approach/

ภาพที่ ๑ ผู้บริโภคที่ใช้ยากลุ่ม GLP-1 กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมจากการบริโภคเนื้อที่มีไขมันสูง ไปสู่การเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่หรือปลา (แหล่งภาพ smartschwarz | Pixabay)



วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

ถอดรหัสการแพร่เชื้อไวรัสหวัดนกผ่านเนื้อสัตว์นำเข้า

 ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติกำลังตั้งคำถามว่า ประเทศต่าง ๆ ควรยังคงใช้กฎการค้าสัตว์ปีกที่มีอยู่เดิมต่อไปหรือไม่

การตั้งกำแพงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ในขณะที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับนั้นมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด? นี่คือหนึ่งในคำถามที่ ริคาร์โด ซานติน ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติ หรือไอพีซี และสมาคมโปรตีนจากสัตว์แห่งบราซิล หรือเอบีพีเอ ได้หยิบยกขึ้นมาในการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและผลกระทบทางเศรษฐกิจระดับโลกจากการที่ไวรัสเอช ๕ เอ็น ๑ อาจถูกนำเข้าสู่สัตว์มีชีวิตผ่านเนื้อสัตว์นำเข้า

ซานตินตั้งคำถามในเอกสารสั้นแต่ตรงไปตรงมาที่ส่งให้สื่อ ถึงการตัดสินใจของหลายประเทศที่เมื่อเกิดการระบาดของไข้หวัดนก ก็จะสั่งห้ามนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกจากประเทศที่ได้รับผลกระทบทันที หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เขากล่าวถึงคือ การที่มีนกป่าซึ่งเป็นพาหะของไวรัสบินข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและเราไม่สามารถควบคุมได้ เว้นแต่จะกำจัดนกเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้เลยในทางปฏิบัติ

อีกข้อเท็จจริงหนึ่งคือไวรัสเอช ๕ เอ็น ๑ สามารถคงสภาพการติดเชื้อได้ในเนื้อสัตว์ดิบแช่แข็งเป็นเวลานานกว่า ๖๐ วัน ที่อุณหภูมิ -๑๘ องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การที่ไวรัสยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้หมายความว่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อเสมอไป เช่น หากผลิตภัณฑ์นั้นผ่านกระบวนการในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่มีการควบคุม หรือหากปรุงสุกที่อุณหภูมิมากกว่า ๗๔ องศาเซลเซียส เพื่อการบริโภคของมนุษย์ ก็จะสามารถทำลายไวรัสได้

ยึดหลักวิทยาศาสตร์

ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติ เน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของการยึดหลักการทางวิทยาศาสตร์  หากเรายึดตามหลักนี้ องค์การสุขภาพสัตว์โลก ได้จัดประเภทการค้าสินค้าสัตว์ปีกที่ผ่านการตรวจสอบว่าเป็นการค้าที่ปลอดภัย แม้จะมาจากประเทศที่มีการระบาดของไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาจากพื้นที่ที่เกิดการระบาด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ซานตินเน้นให้พิจารณาระบบการแบ่งเขตและการแบ่งส่วนการผลิตหรือคอมพาร์ตเมนต์ตามแนวทางของ องค์การสุขภาพสัตว์โลก ประเทศที่ยังไม่ได้นำแนวทางนี้มาใช้ในการค้าระหว่างประเทศควรพิจารณาอย่างจริงจัง

การนำหลักการป้องกันไว้ก่อนมาใช้กับผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคของมนุษย์ โดยปราศจากการพิจารณาอย่างรอบด้านนั้น ส่งผลกระทบต่อการค้า และที่สำคัญคือไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าไม่สามารถยุติการระบาดของไข้หวัดนกในระดับโลกได้

 บราซิลกำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหล่านี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อุตสาหกรรมสัตว์ปีกทั่วโลกได้รับผลกระทบมาเป็นเวลานานอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงคือ ขณะนี้ประเทศผู้ส่งออกสัตว์ปีกรายใหญ่ที่สุดอย่างบราซิล เกิดการระบาดของไข้หวัดนกชนิดรุนแรงภายในประเทศ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าสัตว์ปีก และอีกข้อเท็จจริงคือ สิ่งต่าง ๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถดำเนินต่อไปในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไปเมื่อพิจารณาจากจากองค์ความรู้ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี และจากความจริงที่ว่าตลาดผู้นำเข้ายังคงต้องการอาหารอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้ผลิตไก่เนื้อจำนวนมากจะไม่ชอบการให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดนก แต่บางรายก็เริ่มปรับตัวและอยู่ร่วมกับมันได้ เราควรตระหนักว่าอุตสาหกรรมสัตว์ปีกไม่ได้หมายถึงเฉพาะเนื้อไก่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงไข่ ไก่งวง และวัสดุพันธุกรรมด้วย ขณะเดียวกัน นกป่าก็ยังคงบินข้ามพรมแดนอย่างไม่มีข้อจำกัด จึงมีการเสนอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงหลักการในด้านกฎระเบียบ โดยอิงจากความเสี่ยงที่แท้จริง หลักวิทยาศาสตร์ และความเหมาะสมตามสัดส่วน

เอกสารอ้างอิง

Ruiz B. 2025. Analyzing transmission of H5N1 virus through imported meat. [Internet]. [Cited 2025 Sep 5]. Available from: https://www.wattagnet.com/blogs/latin-america-poultry-at-a-glance/blog/15754644/analyzing-transmission-of-h5n1-virus-through-imported-meat

ภาพที่ ๑ การตั้งกำแพงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ในขณะที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับนั้นมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด? (แหล่งภาพ smartschwarz | Pixabay)



เก็บเกี่ยวชิ้นส่วนไก่ทุกชิ้นให้เป็นกำไร

 แนวโน้มทั่วโลกในปัจจุบันคือผู้บริโภคเริ่มนิยมเนื้อไก่แบบชิ้นส่วนมากกว่าไก่ทั้งตัว เนื่องจากความสะดวกในการปรุงอาหาร โดยไม่ต้องแยกชิ้นส่วนเองที่บ้าน หากผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างมีคุณภาพ เนื้อไก่แบบชิ้นส่วนจะให้ผลกำไรแก่ผู้ประกอบการมากกว่าไก่ทั้งตัว ดังนั้น โรงงานแปรรูปจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดการชิ้นส่วนไก่แต่ละชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยใช้ระบบตัดแบ่งที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้เหมาะกับความต้องการของตลาดแต่ละแห่งได้

ระบบเอซีเอ็ม-เอ็นที ของมาเรล มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับแต่งให้ตรงตามข้อกำหนดเฉพาะ โดยเฉพาะโมดูลใหม่อย่างวิงส์มาสเตอร์ และอัลไพน์ สำหรับการจัดการปีกและขาไก่ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลผลิตและผลกำไรสูงสุด

ชิ้นส่วนไก่

ชิ้นส่วนหลักของไก่ที่นิยมตัดแบ่งเพื่อจำหน่าย ได้แก่ ปีก ขา และอก ซึ่งถือเป็นส่วนที่มีมูลค่าสูงสุดในการแปรรูป ส่วนอื่น ๆ เช่น หาง ชิ้นหลังหรือกระดูกสันหลัง ไขมันแผ่น และกระดูกอก  ถือเป็นผลพลอยได้ที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการอื่นตามความเหมาะสม สำหรับปีกไก่ สามารถตัดได้หลายรูปแบบ ได้แก่ ปีกทั้งชิ้น ปีกแบบไม่มีปลายปีก หรือแยกเป็นสามชิ้น ได้แก่ ปีกบน ปีกกลาง และปลายปีก โดยชิ้นที่มีมูลค่าสูงสุดคือ ปีกบน และปีกกลาง เป็นข้อแรกและข้อที่สองของปีก ส่วน ปลายปีกนั้นมักมีมูลค่าต่ำและนิยมใช้ในการผลิตซุปหรืออาหารสัตว์

ขาไก่สามารถจำหน่ายได้ทั้งแบบขาทั้งชิ้น หรือแยกเป็นสะโพกและน่อง โดยการเลือกว่าจะใช้รูปแบบใดขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและมูลค่าที่สามารถสร้างได้จากแต่ละรูปแบบ ในส่วนของอกไก่ จะต้องผ่านการถอดกระดูกทุกครั้งก่อนเข้าสู่กระบวนการจำหน่าย โดยตลาดจะเป็นตัวกำหนดว่าอกไก่จะถูกตัดเป็นอกไก่ตอนบน (เบรสต์แคป)  หรือชิ้นส่วนครึ่งตัวด้านหน้า (ฟรอนต์ฮาล์ฟ) แตกต่างจากปีกและขาไก่ที่สามารถจำหน่ายแบบมีหรือไม่มีการถอดกระดูกได้ อกไก่จะไม่ถูกจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ปลายทางแบบค้าปลีกโดยตรง แต่จะเข้าสู่ระบบการถอดกระดูกต่อเนื่องที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์อกไก่ โดยระบบเอฟเอชเอฟ เฟล็กซ์คอนโทรล ของมาเรล เหมาะสำหรับการจัดการ ฟรอนต์ฮาล์ฟ ในขณะที่เครื่องถอดกระดูกรุ่นเอเธนา และเอเอ็มเอฟ-ไอ เหมาะสำหรับ เบรสต์แคป

เหตุผลที่ต้องใช้การตัดแบบตามกายวิภาค

        การตัดแบบตามแนวอวัยวะคือการตัดชิ้นส่วนไก่ตามข้อต่อธรรมชาติและแนวกล้ามเนื้อ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเศษกระดูก หรือชิ้นกระดูกแตกหลุดออกมาในระบบแปรรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพผู้บริโภคบางรายไม่ชอบเห็นไขกระดูกสีแดง หรือแม้แต่รอยขีดข่วนบนข้อต่อกลมของชิ้นส่วนที่ถูกตัด โดยต้องการชิ้นส่วนที่มีลักษณะกระดูกสมบูรณ์ไม่เสียหาย ดังนั้น การตัดจึงต้องมีความแม่นยำสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สะอาด ปลอดภัย และลดข้อร้องเรียนจากลูกค้า ซึ่งส่งผลให้การตรวจสอบกระดูกในระบบ เซนเซอร์เอ็กซ์ ที่อยู่ในขั้นตอนถัดไปต้องทำงานซ้ำลดลง

ภาพที่ ๑ โมดูลวิงส์มาสเตอร์ และอัลไพน์ รุ่นใหม่ของมาเรล สำหรับการแปรรูปปีกและขาไก่ได้รับการออกแบบให้ปรับเปลี่ยนได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุดและสร้างกำไรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ (แหล่งภาพ Marel)








               นอกจากนี้ ระบบแปรรูปในขั้นตอนถัดไป เช่น ระบบการผลิตน่องและสันใน ก็ทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้การตัดแบบตามแนวอวัยวะ เนื่องจากระบบนี้จะขูดเนื้อออกจากกระดูกโดยตรง เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด ข้อต่อกลมจะต้องคงสภาพสมบูรณ์ เพราะกล้ามเนื้อทุกมัดเชื่อมโยงกับจุดนี้ อย่างไรก็ตาม การตัดแบบตามแนวอวัยวะอาจไม่จำเป็นในกรณีของการแปรรูปเพื่ออุตสาหกรรมอาหารจานด่วน เช่นที่ใช้ในร้านเคเอฟซี ให้ความสำคัญกับการจัดชิ้นส่วนให้มีน้ำหนักเท่ากันมากกว่าความสมบูรณ์ของแนวตัดตามอวัยวะ นอกจากนี้ ตลาดบางแห่งยังให้ความสำคัญกับการปกปิดผิวหนังมากกว่าการตัดแบบแม่นยำตามแนวอวัยวะ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการตัดแบ่งชิ้นส่วนไก่ตามความต้องการของตลาดนั้น ๆ

การตัดปีกแบบคิว-วิง

ในส่วนของการตัดปีกไก่ภายในระบบแปรรูป มีตัวเลือกหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อต้องส่งมอบชิ้นส่วนปีกคุณภาพสูงให้กับลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะ ในกรณีนี้ไม่ควรมีผลิตภัณฑ์คุณภาพต่ำปะปนอยู่ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพเมเรล จึงนำเสนอระบบคิว-วิง เป็นโซลูชันอัจฉริยะที่ผสานการทำงานของระบบกล้องตรวจสอบคุณภาพระบบจับภาพอัจฉริยะไอริส ซอฟต์แวร์พีดีเอส โมดูลตัดปีกหลายชุดในระบบเอซีเอ็ม รวมถึงระบบสายพานลำเลียงที่เชื่อมโยงกับสถานีบรรจุและสถานีแก้ไขงานกลางอย่างลงตัว

ระบบคิว-วิง ใช้ข้อมูลคุณภาพจากการสแกนของกล้องไอริส เพื่อแยกชิ้นส่วนปีกเกรดเอ ออกจากปีกเกรดบี โดยอัตโนมัติ ซึ่งการแยกสายการผลิตตามคุณภาพนี้ช่วยให้เกิดข้อได้เปรียบด้านโลจิสติกส์อย่างชัดเจน เนื่องจากปีกเกรดเอและบี ต้องเข้าสู่กระบวนการที่แตกต่างกัน ด้วยระบบคิว-วิง การตรวจสอบคุณภาพด้วยแรงงานคนจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป โดยใช้พนักงานเพียงคนเดียวสำหรับการตรวจสอบขั้นสุดท้าย ระบบสามารถทำงานได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่เหนื่อยล้า และไม่ถูกชักนำด้วยอคติเช่นที่อาจเกิดขึ้นกับการตรวจสอบโดยมนุษย์

นายฟาเบียน ทาเฟอร์เนอร์ จากบริษัทฮูเบอร์ส ลันด์เฮินเดิล กล่าวว่า “ในระบบคิว-วิง เราจัดการกับผลิตภัณฑ์สองระดับคุณภาพ ปีกที่ดูดีจะถูกจัดเป็นเกรดเอ ส่วนปีกที่มีรอยแตกหรือรอยช้ำจะถูกจัดเป็นเกรดบี โดยการตัดสินใจว่าเป็นเกรดเอหรือบี จะดำเนินการโดยกล้องไอริสภายในระบบคิว-วิง

วิงมาสเตอร์

หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของระบบคิว-วิง สามารถทำงานแบบอิสระได้เช่นกัน คือ วิงมาสเตอร์โดยมีหน้าที่หลักในการตัดชิ้นส่วนกลางของปีกไก่ ให้ได้ผลผลิตสูงสุดและคุณภาพดีที่สุด หมายถึงการตัดที่แม่นยำตามแนวทางกายวิภาค และมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นสิ่งที่ วิงมาสเตอร์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยม

วิงมาสเตอร์ยังสามารถปรับระดับการคลุมผิวหนังของชิ้นส่วนได้ เพื่อให้การนำเสนอของปีกกลาง และปีกบนดูสวยงาม และสามารถจัดการกับปีกไก่ที่มีหรือไม่มีปลายปีกได้ ระบบการตัดอัตโนมัติในสายการผลิตเอซีเอ็ม นี้ช่วยลดความจำเป็นในการใช้แรงงานที่มีทักษะสูงในการคัดแยกและแก้ไขงาน ในกรณีที่ปีกซ้ายเกิดการแตกหักและต้องถูกส่งไปยังสายผลิตภัณฑ์คุณภาพ บี ระบบวิงมาสเตอร์ ที่อยู่ในชุด คิว-วิง ยังสามารถตัดชิ้นปีกกลางของปีกขวาได้ หรือจะเลือกไม่ตัดก็ได้เช่นกัน หลังจากการตัดแล้ว ระบบวิงมาสเตอร์ สามารถกระจายชิ้นปีกกลาง คุณภาพเอและบีไปยังสถานีบรรจุหรือสถานีแก้ไขงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตัดขาไก่

ภาพที่ ๒ โมดูลวิงส์มาสเตอร์ สำหรับการแปรรูปปีก (แหล่งภาพ Marel) 








การได้ผลผลิตสูงสุดจากชิ้นส่วนขาไก่ต้องอาศัยความแม่นยำ โดยเริ่มต้นจากบริเวณส่วนสะโพกไก่ เป็นจุดเริ่มต้นของการแปรรูป สามารถนำไปตัดได้หลายรูปแบบ ได้แก่ ตัดเป็นขาไก่แบบควอเตอร์ ด้วยเครื่องสปลิต คัตเตอร์ แยกออกเป็นน่องและสะโพก  ด้วยเครื่องดรัมสติ๊ก คัตเตอร์ ตัดเป็นขาไก่ตามแนวแบบกายวิภาคด้วยระบบอัลไพน์ เนื่องจากน้ำหนักของไก่ในตลาดปัจจุบันมีความหลากหลาย ระบบตัดขาไก่จึงควรสามารถรองรับช่วงน้ำหนักที่กว้างโดยไม่ต้องปรับตั้งค่าเพิ่มเติม ระบบอัลไพน์ของมาเรลสามารถรองรับขาไก่ที่ผ่านการแช่น้ำหรือแช่อากาศได้ แม้จะเป็นไก่ขนาดใหญ่พิเศษระดับ “ซูเปอร์เอชดี ก็ยังสามารถจัดการได้ และแม้แต่ภายในฝูงเดียวกัน ระบบนี้ก็สามารถรับมือกับความแตกต่างของน้ำหนักได้อย่างยอดเยี่ยม

ระบบอัลไพน์ สำหรับการตัดขาไก่แบบกายวิภาคมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการผลิต โดยมีเซนเซอร์ในตัวที่สามารถตรวจจับชิ้นส่วนหลังที่ไม่ต้องการได้อย่างแม่นยำ พร้อมหน้าจอเอชเอ็มไอ ที่ผสานรวมอยู่ในระบบ ช่วยให้สามารถติดตามการทำงานและตรวจสอบการสูญเสียของผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง ระบบอัลไพน์ยังใช้ล้อแยกข้อสะโพกแบบพิเศษที่เรียกว่า ฮิฟ ดิสโลเคชัน วีล ควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อต่อสะโพกโดยไม่สร้างแรงกดบนขาไก่ ทำให้สามารถตัดขาได้อย่างสะอาดและแม่นยำ โดยตลอดกระบวนการ ขาไก่จะถูกยึดไว้อย่างมั่นคงในชุดจับ ส่งผลให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพการตัดที่ดีเยี่ยม นายฮันเนส ลังเกน ผู้จัดการโครงการจากบริษัทเอมส์ลันด์ ฟริชเกอฟลือเกิลกล่าวว่าระบบอัลไพน์ เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับการแยกขาออกจากสะโพกแบบกายวิภาค ซึ่งช่วยให้ได้รอยตัดที่สะอาดบริเวณข้อต่อขาอย่างแท้จริง

เอกสารอ้างอิง

Marel. 2025. How to turn every piece of chicken into profit. [Internet]. [Cited 2025 Sep 1]. Available from: https://www.poultryworld.net/the-industrymarkets/processing/how-to-turn-every-piece-of-chicken-into-profit

ภาพที่ ๓ ผลผลิตจากคิว-วิง สูงกว่าสำหรับทุกชิ้นส่วนของปีกอย่างชัดเจน และคุณภาพก็ดีกว่าอีกด้วย(แหล่งภาพ Marel) 









วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...