ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วยุโรป เชื่อว่า
ความเสียหายของกระดูกอกแม่ไก่เกิดจากหลายปัจจัย ปัญหานี้สามารถลดลงได้อย่างมาก ผลการวิจัยเผยสาเหตุของปัญหา
และทางแก้ไข
การฝึกอบรมเกี่ยวกับ
ความเสียหายของกระดูกอกไก่ในแม่ไก่ที่ศูนย์วิจัยการทดลองสัตว์ปีกในเบลเยี่ยม
มีการแลกเปลี่ยนความเห็นทางวิชาการล่าสุด ศ. จอห์น ทาร์ลตัน
มหาวิทยาลัยบริสตอลมีความชำนาญด้านโรคกระดูก กระดูกของสัตว์ปีกมีวิวัฒนาการสำหรับการให้ไข่ร่วมกันกับไดโนเสาร์
เรียกว่า กระดูกเมดูลาร์ (Medullary
bone) กระดูกที่ปราศจากโครงสร้างที่สร้างขึ้นในโพรงไขกระดูกของกระดูกยาว
เป็นแหล่งของแคลเซียมที่ใช้ในการสร้างเปลือกไข่ บรรพบุรุษของไก่คือ ไก่ป่าสีแดง
สามารถไข่ได้ปีละ ๑๒ ถึง ๒๐ ฟองเท่านั้น ขณะที่
แม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงเชิงพาณิชย์ปัจจุบันให้ไข่ราว ๓๕๐ ฟองต่อปี ดังนั้น
แม่ไก่ที่เลี้ยงเชิงพาณิชย์จึงต้องการแคลเซียมมากกว่า ๘๐๐ กรัมต่อปี คิดเป็น ๓๐
เท่าของแคลเซียมจากกระดูกทั้งหมด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
ไก่ไข่ที่เลี้ยงเชิงพาณิชย์ แลกเปลี่ยน ๑๐
เปอร์เซ็นต์ของปริมาณทั้งหมดของแคลเซียมเพื่อสร้างเป็นไข่ไก่
ทั้งนี้ต้องขอบคุณกระดูกเมดูลาร์ที่เป็นแหล่งพักพิงของแคลเซียม
แหล่งของแคลเซียมนี้เกิดขึ้นก่อนเริ่มไข่ไม่นานเท่านั้น เรียกได้ว่า
ก่อนที่แม่ไก่จะสมบูรณ์เพศ
แคลเซียมในอาหารจะถูกใช้เท่าไร
และแคลเซียมจะถูกเคลื่อนย้ายจากกระดูกเมดูลาร์เท่าไร
เพื่อสร้างเปลือกไข่ขึ้นกับปริมาณของแคลเซียมที่มีอยู่ในกระดูกในเวลาที่เปลือกไข่ถูกสร้างขึ้น
แม่ไก่สามารถสำรองแคลเซียมไว้ในกระดูกได้จำกัด
จำเป็นต้องได้รับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน ขณะที่ แม่ไก่ดึงแคลเซียมมาจากแหล่งสำรองแคลเซียในกระดูกในเวลากลางคืน
ปราศจากแคลเซียมในอาหาร จึงทำให้มีการเคลื่อนย้ายมาจากกระดูกโครงสร้าง รวมถึง
กระดูกเมดูลาร์
การเสียสละแคลเซียมของกระดูกแคลเซียมเพื่อให้ไข่จึงทำให้กระดูกอ่อนแอลง โดยเฉพาะ
แหล่งสำรองนี้ไม่สามารถชดเชยได้จากกระดูกเมดูลาร์
ดังนั้น
การเพิ่มแคลเซียมที่ใช้ประโยชน์ได้ในอาหารสัตว์อาจช่วยลดการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกได้
เช่น อัตราส่วนของแคลเซียม ๗๕ เปอร์เซ็นต์จากอาหาร และ ๒๕
เปอร์เซ็นต์จากกระดูกเมดูลาร์ย่อมดีกว่าอัตราส่วน ๖๐ และ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ การให้ก้อนกรวดปูนขาว
หรือเกล็ดเปลือกหอย ที่เป็นแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติจึงมีความสำคัญ จากงานวิจัยโดย
Robert
Pottgüter ของบริษัทลอห์มัน
อาหารสัตว์ของแม่ไก่ต้องประกอบด้วยแคลเซียมสัก ๒ ถึง ๒.๕ เปอร์เซ็นต์
ขนาดของเม็ดแคลเซียมก็มีความสำคัญ เม็ดแคลเซียมที่มีขนาด ๐.๘
มิลลิเมตรจะดูดซึมดีกว่าเม็ดที่ละเอียดมากๆ
การทำงานของโอเมกา ๓
กลไกการทำหน้าที่ของกระดูก แบ่งได้เป็น ๓ ระยะ ได้แก่
๑.
ระดับการรับน้ำหนักต่ำ
ส่งผลให้มีแรงเพียงเล็กน้อยต่อกระดูก
๒.
ระดับการรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น เรียกว่า “ระยะอีลาสติก (Elastic phase)” สร้างแรงกดต่อกระดูก
แต่กระดูกสามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์
๓.
ระดับการรับน้ำหนักมาก เรียกว่า “ระยะพลาสติก (Plastic phase)” กระดูกเกิดความเสียหายแบบกลับคืนไม่ได้
จำเป็นต้องมีการซ่อมแซม และอาจส่งผลต่อการหักของกระดูกได้
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า
กระดูกของสัตว์ปีกในระบบการเลี้ยงแบบไม่ขังกรง
ช่วยให้กระดูกค่อยๆแข็งแรงขึ้นตลอดการวางไข่
แต่ไม่เพียงพอต่อความทนทานกับอันตรายต่อแม่ไก่ในสิ่งแวดล้อมระหว่างการวางไข่
วิธีการแก้ไขคือ การเติมกรดไขมันโอเมกา ๓ ลงในอาหาร โอเมกา ๓
สามารถเติมลงได้อย่างง่ายๆในรูปของเมล็ดของต้นแฟลคซ์ หรือปลาป่น
เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันการสูญเสียกระดูก โดยการให้โอเมกา ๓
ช่วยลดอุบัติการณ์กระดูกหักจาก ๖๕ เปอร์เซ็นต์เหลือ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ที่อายุ ๕๐
สัปดาห์ และ ๗๐ เปอร์เซ็นต์เหลือ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ที่อายุ ๗๐ สัปดาห์
กระดูกแข็งแรงมากขึ้นเพื่อรับน้ำหนักในระยะอีลาสติก
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
โดยกระดูกมีความแข็งแรงมากขึ้นเมื่อรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เช่น การออกกำลัง
และกระดูกอ่อนแอลงเมื่อรับน้ำหนักลดลง เช่น
แม่ไก่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จำกัดการเคลื่อนไหว เช่น กรงตับ เป็นต้น
กลไกการควบคุมเฉพาะแห่ง และตามระบบที่ส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเซลล์กระดูก
และเมตาโบลิซึมของแคลเซียม รวมถึง โกรธฮอร์โมน ฮอร์โมนไทรอยด์ เอสโตรเจน
ระดับแคลเซียม และวิตามินดี เพื่อรักษาสุขภาพกระดูกที่ดี วิตามินดีเป็นศูนย์กลางที่มีหน้าที่ควบคุมการทำหน้าที่ของเซลล์กระดูก
การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ และการขับแคลเซียมในไต
ความสำคัญของการปรับระบบ
ถึงเวลานี้ต้องยอมรับว่าเป็นความจริงที่ว่า
การออกกำลัง และการฝึกให้แม่ไก่ออกกำลังช่วยให้กระดูแข็งแรงขึ้น
แต่ก็มีสิ่งที่เรียกว่า “ความย้อนแย้งของอันตราย (Hazard paradox)” ของศาสตราจารย์ชาวดัทช์
บาส โรเดนเบิร์ก ภาควิชาสัตวศาสตร์ และสังคม คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอูเทร็คท์
ระบบการเลี้ยงสัตว์ปีกที่แม่ไก่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระมีความซับซ้อนมากกว่าระบบการเลี้ยงในกรง
ความเสี่ยงต่อกระดูกหักมีมากกว่าอย่างมาก เช่น
แม่ไก่ที่มีโอกาสบินได้ตามธรรมชาติก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุตกลงมาได้ง่าย
ความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักโดยอุบัติเหตุจะน้อยลงในระบบการเลี้ยงแบบกรงจำลองธรรมชาติ
(Aviary
system) ระบบการเลี้ยงแบบ Portal system มีความปลอดภัยต่อแม่ไก่มากกว่าแบบเดิม
Row system เช่น ระบบ Portal system จะมีอุบัติการณ์กระดูกหักส่วนกลางของกระดูกอกต่ำกว่าระบบ
Row system ราว ๑๓ เปอร์เซ็นต์ และการติดตั้งระบบ Row
system พบว่า ระยะห่างระหว่างแถวมีผลต่อการบาดเจ็บของแม่ไก่
แม่ไก่สีขาวมีน้ำหนักน้อยกว่าแม่ไก่สีน้ำตาล กระโดดได้ไกลกว่า
ความชุกของการบาดเจ็บที่กระดูกอกในระบบ Aviary system ที่ใช้พื้นพลาสติกต่ำกว่าลวดตะข่ายราว
๙ เปอร์เซ็นต์
การเพิ่มทางลาดที่ส่วนบนของระบบ
Aviary
system ช่วยลดกระดูกหักลงได้
ทางลาดพิเศษที่ส่วนบนของระบบช่วยลดการร่วงตกลงมาของแม่ไก่ได้ ๔๕ เปอร์เซ็นต์
ลดการปะทะกันลง ๕๙ เปอร์เซ็นต์ และลดกระดูกหักลงได้ไม่เกิน ๒๓
เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับระบบที่ไม่มีทางลาดพิเศษ ระบบ Vencomatic ได้พัฒนาระบบนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว มุมของทางลาดชัดต้องน้อยกว่า ๔๐
เปอร์เซ็นต์ ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า
ชั้นบันไดที่ประกอบด้วยตะข่ายโลหะถูกใช้ดีกว่าโดยการเลี้ยงแม่ไก่ดีกว่าพื้นที่หยาบเหมือนกระดาษทราย
ผลการวิจัยก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่า มุมระหว่างขอนเกาะต่างๆมีความสำคัญ
เมื่อมุมที่ใช้ในระบบนี้มากกว่า ๓๐ องศา แม่ไก่จะไม่ค่อยอยากกระโดดลงมา
และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเป็น ๒๒ เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับการเลี้ยงบนกรง
๕ เปอร์เซ็นต์ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งที่แม่ไก่กระโดดลงมา
มุมต้องน้อยกว่า ๔๕ องศา การกระโดดขึ้นของแม่ไก่มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าการกระโดดลง
ความสำคัญของการเลี้ยงไก่รุ่นที่ดี
ระยะการเลี้ยงไก่รุ่นมีความสำคัญมากต่อการป้องกันความเสียหายของกระดูกอก
งานวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ แสดงให้เห็นว่า แม่ไก่รุ่นที่เลี้ยงในระบบ Aviary system มีพัฒนาการที่ดีกว่าในแง่ของทักษะการเคลื่อนที่ และดีกว่าการเลี้ยงในกรง
โดยเฉพาะ กระดูกหักน้อยกว่า ไม่ส่งผลต่อการผิดรูปของกระดูก
พันธุกรรมก็มีบทบาทสำคัญมาก พันธุ์ลูกผสมสีขาวมีการเคลื่อนที่ในระบบ Aviary
system ได้ดีกว่าพันธุ์ลูกผสมสีน้ำตาล แม้ว่า
พันธุ์ลูกผสมสีขาวจะมีความเสี่ยงต่อกระดูกหักโดยทฤษฏีมากว่าพันธุ์ลูกผสมสีน้ำตาล
เนื่องจาก มีระบบกระดูกที่เบากว่า มีโอกาสกระดูกหักน้อยกว่าแม่ไก่สีน้ำตาล
เนื่องจาก พันธุ์ลูกผสมสีขาวเบากว่า จึงกระตือรือร้นมากกว่า และบินได้ง่ายกว่า
พันธุ์ลูกผสมสีน้ำตาลจึงมีความเสียหายของกระดูกอกมากกว่าพันธุ์ลูกผสมสีขาว
โดยเฉพาะที่ส่วนยอดของกระดูกอก ความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแรงของกระดูก
และความเสี่ยงของกระดูกหัก พบว่า
ปัญหากระดูกหักในสายพันธุ์สีขาวที่คัดเลือกให้ความแข็งแรงของกระดูกสูงจะมีน้อยกว่าสายพันธุ์ที่คัดเลือกให้ความแข็งแรงของกระดูกต่ำ
บ่งชี้ถึง ความสำคัญของการคัดเลือกทางพันธุกรรมต่อความเสียหายของกระดูกอก
การออกแบบขอนเกาะ
เป็นที่ยอมรับกันดีว่า ในระบบที่ไม่เลี้ยงขังกรง
ความเสียหายจากกระดูกหักมีมากกว่าระบบการเลี้ยงขังกรง
กระดูกหักยังรุนแรงกว่าในระบบที่ไม่เลี้ยงขังกรง การวิจัยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙
ที่ผ่านมาใน ๔๗ ฟาร์มจากเบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ที่เลี้ยงในระบบ Aviary system ชนิดต่างๆ พบว่า การบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ส่วนกลางของกระดูกอก
ความชุกของปัญหาในแม่ไก่ที่พบปัญหากระดูอกอกหักเฉลี่ยเป็น ๘๒.๕ เปอร์เซ็นต์
โดยเกิดจากสาเหตุต่างๆ รวมถึง พันธุกรรม พฤติกรรม สรีรวิทยา และการออกแบบระบบ Aviary
system อีกด้วย และยังขึ้นกับจำนวนของทางลาด และพื้น
และวัสดุที่ใช้ผลิตอีกด้วย
ขอนเกาะมีความสำคัญสำหรับการแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติของแม่ไก่
และเพิ่มแรงกดต่อกระดูกอก เนื่องจาก การนั่งเป็นเวลานาน
ขอนเกาะโลหะแข็งกระด้างกว่าไม้ แต่ไม้ก็มีโอกาสพบไรแดงมากกว่า
ขอนเกาะที่ใช้โฟมพียูหุ้มไว้ช่วยลดแรงกระแทกได้ ในกรณีแม่ไก่บินไปชน นอกจากนั้น
โฟมพียูยังช่วยให้เกาะได้แน่นขึ้นจึงลดการตกจากขอนเกาะได้ เนื่องจาก
เส้นผ่านศูนย์กลางที่ใหญ่มากขึ้น แรงกดต่อกระดูกอกจึงกระจายน้ำหนักไปได้มากกว่าเดิม
ช่วยลดปัญหาการคด และหักของกระดูกได้ อย่างไรก็ตาม โฟมพียูมีความเสี่ยงต่อปัญหาด้านสุขอนามัย
และ/หรือไรแดง การเลี้ยงแม่ไก่ระยะรุ่นไม่เพียงมีความสำคัญต่อการสร้างกล้ามเนื้อ
และกระดูกให้แข็งแรง แต่ยังช่วยสร้างความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
การใช้ทางลาดก็เป็นประโยชน์ต่อการลดความเสียหายของกระดูกอก ประโยชน์น่าจะมีมากกว่าผลเสียอย่างมาก
เอกสารอ้างอิง
ภาพที่
๑
การคลำที่บริเวณอกไก่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจสอบความเสียหายของกระดูกอก