สหราชอาณาจักรกำลังพิจารณายกเลิกการสั่งห้ามใช้โปรตีนแปรรูปจากสัตว์ปีกละสุกร หรือพีเอพี อ้างอิงตามรายงานจากเอฟปรา ซึ่งป็นผู้แทนของอุตสาหกรรมผลพลอยได้จากสัตว์ในยุโรป
ช่วงปลายปีที่แล้ว สหราชอาณาจักรกำลังพิจารณายกเลิกแบนโปรตีนแปรรูปจากสัตว์ปีกและสุกร
หรือพีเอพี (poultry
and pig processed animal proteins, PAPs)
ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนและก่อให้เกิดการระบาดของโรควัวบ้า
หรือบีเอสอีในช่วงปี พ.ศ.๒๕๒๓ ทำให้ทำลายสัตว์เคี้ยวเอื้องไป ๔ ล้านตัว
และมีผู้เสียชีวติ ๑๗๘ รายจากโรคครอยตส์เฟลดต์-จาค็อบ หรือซีเจดี
การผสมพีเอพีในอาหารสัตว์
สหภาพยุโรปแก้ไขกฎหมายเมื่อเดือนกันยายน
พ.ศ. ๒๕๖๔ อนุญาตให้ใช้โปรตีนแปรรูปจากสัตว์ปีกและสุกร
โดยโปรตีนแปรรูปจากเนื้อสัตว์ปีกสามารถใช้กับอาหารสุกรได้ ขณะที่
โปรตีนแปรรูปจากเนื้อสุกรก็สามารถใช้กับอาหารสัตว์ปีกได้เช่นเดียวกัน
อัตราการผสมในอาหารสัตว์โดยทั่วไปร้อยละ ๕ ถึง ๑๐
โปรตีนแปรรูปจากสัตว์ปีกและสุกรมีปริมาณโปรตีนที่สูงกว่าวัตถุดิบแหล่งโปรตีนจากพืชที่นิยมใช้กัน
เช่น เรพซีด ถั่วเหลือง และถั่วลูพิน ทั้งนี้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตจากวัตถุดิบกลุ่มที่
๓ เหมาะสำหรับมนุษย์บริโภค ณ ขณะที่ถูกฆ่า
และมาจากระบบการผลิตที่สามารถสอบย้อนกลับได้อย่างครอบคลุมตลอดทุกขั้นตอน
เพื่อกำจัดความเสี่ยงจากการกินเนื้อสัตว์ชนิดเดียวกัน หรือกินกันเอง (intra-species
consumption)
ยังเร็วเกินไป
เอเดรียน
เคสเตอร์สัน ที่ปรึกษาด้านวิชาการของสมาคมการค้าผลพลอยได้จากสัตว์ หรือฟาบรา
แห่งสหราชอาณาจักร ยังเห็นว่าเร็วเกินไปที่จะคิดว่าสหราชอาณาจักรจะเดินตามสหภาพยุโรปในการยกเลิกการแบนครั้งนี้
เวลานี้ยังต้องปรึกษากับสก๊อตแลนด์ในการอนุโลมพีเอพีสัตว์ปีกใช้ผสมในอาหารสุกร
และพีเอพีสุกรใช้ในอาหารสัตว์ปีกได้
ทั้งนี้อาจต้องครอบคลุมการใช้แมลงป่นและเจลาตินจากสัตว์เคี้ยวเองในอาหารสัตว์ด้วย วาระการปรึกษาที่คล้ายคลึงกันนี้วางแผนไว้สำหรับอังกฤษและเวลส์ถัดไปจากนี้
หากผลการปรึกษาหารือกันนี้เป็นบวก รัฐบาลก็จะเริ่มร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
แต่ก็ต้องใช้เวลา ในความเป็นจริง กฎหมายนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งปี
พ.ศ.๒๕๖๙ อย่างเร็วที่สุด
ทั้งนี้
เกษตรกรและผู้ผลิตอาหารสัตว์ควรเข้าถึงวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้เหมือนกับในยุโรป
ทัศนคติความเชื่อของผู้บริโภคและผู้ค้าปลีกเป็นสิ่งที่ยากต่อการไปตัดสินใจแทน
แต่ผู้บริโภคสหราชอาณาจักรก็ไม่แตกต่างกันมากกับยุโรป และไม่มีปรากฏการณ์สะท้อนกลับที่รุนแรงในยุโรป
ตั้งแต่กฏหมายยุโรปเปลี่ยนไปในปี พ.ศ.๒๕๖๔ เป็นต้นมา
ความเสี่ยงของโรควัวบ้าและการประเมินความเสี่ยง
อังกฤษ
เวลส์ และสก๊อตแลนด์ ได้รายงานต่อองค์การสุขภาพสัตว์โลกเปลี่ยนสถานะความเสี่ยงของโรควัวบ้าจากภายใต้สถานการณ์ควบคุมโรคไปเป็นไม่ใช่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอีกต่อไป
ซึ่งเป็นการช่วยการส่งออกเนื้อและผลพลอยได้จากสัตว์ คาดว่า
องค์การสุขภาพสัตว์โลกจะพิจารณาข้อเสนอภายในปีนี้ แม้ว่าหากอนุโลมแล้ว
ก็จำเป็นต้องทบทวนกฎหมายด้วย
การประเมินความเสี่ยงจากสำนักสุขภาพพืชและสัตว์ หรือเอพีเอชเอ บ่งชี้ว่า ความเสี่ยงในสหราชอาณาจักรจากการระบาดของโรควัวบ้า หรือทีเอสอี หรือบีเอสอี จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่า ร่างกฏหมายพีเอพีจะมีใช้จริงแล้วก็ตาม สมาคมสัตวแพทย์บริทิชได้ส่งคำขอปรึกษาร่วมกับสก๊อตแลนด์เพื่อพิจารณาสนับสนุนให้ยกเลิกการแบนพีเอพี แต่ก็ยังแสดงความห่วงใยต่อความเสี่ยงต่อโรคที่มีผลต่อสุขภาพสัตว์ เช่น อหิวาต์แอฟริกันในสุกร อหิวาต์สุกร หรือโรคพีอีดี ขณะที่ เอ็นจีโอ คอมพาสชันอินเวิล์ดฟาร์มมิ่ง ก็สนับสนุนการให้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์กับสัตว์กลุ่มโอมนิวอร์ เช่น สุกร และไก่ แต่ยังคงกังวงกับการใช้แมลง
เอกสารอ้างอิง
Mcdougal T. 2025. UK considers lifting ban on pig and poultry
PAPs in animal feed. [Internet]. [Cited 2025 Jan 22].
Available from: https://www.poultryworld.net/the-industrymarkets/market-trends-analysis-the-industrymarkets-2/uk-considers-lifting-ban-on-pig-and-poultry-paps-in-animal-feed/
ภาพที่ ๑ อังกฤษเลิกแบนการใช้โปรตีนแปรรูปจากไก่หมู
(แหล่งภาพ Canva)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น