หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นว่าด้วยการผลิตสัตว์ปีกยุคใหม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับสังคมอย่างมาก
แต่ก็มีคำถามถึงความยั่งยืนของการผลิตไก่เนื้อโตช้า
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
นักวิจัยเยอรมันได้ตีพิมพ์รายงานการประเมินศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตสัตว์ปีกทางเลือกใหม่ด้วยวิธีการพิเศษ
หรืออินทรีย์ ทั้งในสหภาพยุโรป และเยอรมัน โดยเฉพาะ
การใช้พันธุ์สัตว์ปีกโตช้าที่มีประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารที่น้อยกว่าการเลี้ยงตามปรกติ
และต้องใช้พื้นที่การเลี้ยงต่อตัวมากกว่า
การผลิตและติดฉลากสัตว์ปีกอินทรีย์สอดคล้องกับความต้องการขั้นต่ำของตลาดสหภาพยุโรป
ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาโดยสภาพไก่แห่งชาติในสหรัฐฯ และบริษัทอีแลนโคเมื่อต้นปีก็ไม่ค่อยน่าพอใจเช่นกัน
โดยรายงานผลการวิจัยว่า ทั้งการผลิตสัตว์ปีกด้วยวิธีการเลี้ยงสัตว์ปีกโตช้า
และอินทรีย์มีประสิทธิภาพต่ำ และต้นทุนการผลิตสูง เนื้อสัตว์ที่ผลิตด้วยการผลิตวิธีการเลี้ยงสัตว์ปีกโตช้า
จะมีราคาแพงกว่าเนื้อปรกติ ๒๐ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์
ยิ่งเนื้อสัตว์ปีกอินทรีย์แพงกว่าถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
รายได้ทางการเกษตรกรรมของสหภาพยุโรปจะลดลงราว
๓ พันล้านยูโรในกรณีการเลี้ยงสัตว์ปีกโตช้า และ ๘ พันล้านยูโรในกรณีมีการเลี้ยงสัตว์ปีกอินทรีย์
นอกจากนั้น วิธีการเลี้ยงสัตว์ปีกโตช้า
และอินทรีย์ยังใช้ทรัพยากรต่างๆมากกว่าการเลี้ยงสัตว์ปีกเชิงอุตสาหกรรมทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์
วัสดุรองพื้น น้ำ และยังส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก
การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือแก๊สก่อปัญหากรีนเฮาส์ก็จะเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกในที่สุด
ผลการวิจัยเหล่านี้อาจเป็นผลดีสำหรับอุตสาหกรรมที่เริ่มตอบสนองตามใจกลุ่มนักเคลื่อนไหวคุ้มครองสัตว์ที่พยายามกดดันผู้ประกอบการอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมการผลิตไข่ในอดีตที่ผ่านมา
วิทยาศาสตร์ก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
ผู้ประกอบการ
ยอมรับให้องค์กรพิทักษ์สัตว์อย่างเพื่อนสัตว์โลก (Global Animal
Partnership, GAP) กำหนดเป็นมาตรฐาน
และระบบสวัสดิภาพสัตว์อื่นๆโดยมิได้คำนึงถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
และอาจไม่สนใจที่จะรับทราบข้อมูลด้วยซ้ำ การตัดสินใจในอดีต
ผู้ที่กำหนดมาตรฐานอาศัยปัจจัยสำคัญที่สุดมุ่งเน้นไปที่ความคิดของผู้บริโภค
และความรู้สึกที่ดีเพียงด้านเดียว
เช่นเดียวกับผู้กำหนดมาตรฐานเลี้ยงไก่ไข่ไม่ใช้กรง
หรือปลอดภัยปฏิชีวนะก็มิได้สนใจกับข้อมูลใดๆด้านวิทยาศาสตร์ แต่ใช้ความเชื่อ
และความรู้สึกของผู้บริโภคเท่านั้น
ในอนาคตข้างหน้า เริ่มจากปี ค.ศ.๒๐๑๘
เป็นปีที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอาหารในการตัดสินใจว่าจะเลือกเดินบนผืนทรายด้วยการเลี้ยงสัตว์ปีกโตช้า
หากผู้ประกอบการนำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ให้ข้อมูลกับผู้บริโภค
และผู้ที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นโอกาสที่อุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกจะสามารถเลือกสวนทางกับกระแสการเลี้ยงสัตว์ปีกโตช้าได้
เอกสารอ้างอิง
Alonso A. 2017. Science
doesn’t support slow-growing broiler movement. [Internet]. [Cited 2017 Nov 20]. Available from: https://www.wattagnet.com/blogs/47-us-poultry-industry-insights/post/32702-science-doesnt-support-slow-growing-broiler-movement?utm_content=Poultry%20Update&utm_campaign=17_11_22_Poultry%20Update_Wednesday&utm_source=KnowledgeMarketing&utm_medium=email&eid=89973158&bid=1932329
ภาพที่ ๑ วิธีการเลี้ยงสัตว์ปีกโตช้า
และอินทรีย์ยังใช้ทรัพยากรต่างๆมากกว่าการเลี้ยงสัตว์ปีกเชิงอุตสาหกรรมทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์
วัสดุรองพื้น น้ำ และยังส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก
การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
หรือแก๊สก่อปัญหากรีนเฮาส์ก็จะเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกในที่สุด
(แหล่งภาพ: Wabeno, Bigstock)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น