วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อินเดียทำลายเป็ดไก่ติดหวัดนกกว่าแปดพันตัว

โรคไข้หวัดนกหวนคืนสู่อินเดีย ขณะที่มีรายงานระบาดเพิ่มขึ้นในไต้หวัน เวียดนาม และจีน
               โรคไข้หวัดนกได้รับการยืนยันการระบาดแล้วที่ฟาร์มในรัฐตรีปุระ ประเทศอินเดีย ไก่ และเป็ดมากกว่า ๘,๐๐๐ ตัว ถูกทำลาย ฟาร์มดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมือง Gandhigram ทางตะวันตกของรัฐตรีปุระ บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ติดกับประเทศบังคลาเทศ หลังจากการตายของไก่ เป็ด และสัตว์ปีก กรมปศุสัตว์ได้ส่งตัวอย่างให้ห้องปฏิบัติการหลายแห่งทั้งในท้องถิ่น และภายนอก โดยผลการตรวจยืนยันผลบวกต่อเชื้อไวรัสสับไทป์ H5 เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น สัตว์ปีกทั้งหมดในรัศมี ๑ กิโลเมตรรอบฟาร์มที่เกิดโรคระบาดจึงถูกสั่งทำลาย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แผนการเฝ้าระวังโรคจะกำหนดเป็นรัศมี ๑๐ กิโลเมตรถัดไป เพื่อตรวจติดตามการแพร่กระจายโรค
               การระบาดโรคไข้หวัดนกในไต้หวัน เวียดนาม และจีน สองสัปดาห์ที่แล้ว กรามปศุสัตว์ไต้หวันได้รายงานโรคระบาดไปยัง OIE จากเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสับไทป์ H5N2 ทั้งหมด ๗ ครั้ง ครอบคลุมฟาร์มสัตว์ปีกทั้งหมด ๖ แห่ง และสัตว์ปีกป่า ๑ ครั้ง ส่งผลให้มีการทำลายสัตว์ปีกทั้งหมด ๓๒,๓๑๐ ตัว เมื่อเร็วๆนี้ยังมีการทำลายเพิ่มอีก ๒๗,๕๓๘ ตัวภายหลังการยืนยันโรคอีกครั้งในเมืองชิงหัว จนถึงตอนนี้ เชื้อไวรัสไข้หวัดนกถูกตรวจพบในนกป่าไปแล้ว ๔ ครั้ง ขณะเดียวกันในประเทศเวียดนามก็มีรายงานการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสับไทป์ H5N6 ให้ OIE โดยตรวจพบในสัตว์ปีกเลี้ยหลังบ้านจำนวน ๖,๖๐๐ ตัว ในฟาร์มทางตอนกลาง และตอนเหนือของประเทศ โดยฟาร์มในจังหวัดหูหนานในจีนก็ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อหงส์ดำจำนวน ๑,๓๐๐ ตัว และนกยูงในฟาร์มแห่งหนึ่ง

               สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดูแย่ลงคือ การเกิดโรคในคนที่ประเทศจีน โดยมีการรายงานต่อ WHO ว่า มีการยืนยันผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก ๒ รายจากการติดเชื้อ H5N6 ในจังหวัดกวางตุ้ง ผู้ป่วยทั้งสองรายเดินชมตลาดค้าสัตว์ปีกมีชีวิต หนึ่งในสองรายดังกล่าวได้เสียชีวิตลงแล้ว ขณะที่ นักธุรกิจชาวไต้หวันที่ติดเชื้อ H7N9 หลังจากไปเที่ยวจีนได้เสียชีวิตลงแล้วเช่นกัน โดยผู้ป่วยติดเชื้อภายหลังเที่ยวชมตลาดค้าสัตว์ปีกเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

รัสเซียขุดพบแบคทีเรียใต้ชั้นน้ำแข็งไซบีเรียใช้แทนยาปฏิชีวนะ

นักวิทยาศาสตร์รัสเซียเล็งเห็นโอกาสยิ่งใหญ่เพื่อหายาทดแทนยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์ปีก โดยใช้แบคทีเรียโบราณอายุกว่า ๓.๕ ล้านปีจากใต้ชั้นหิมะในไซบีเรีย
               เชื้อบาซิลลัส เอฟ ซ่อนอยู่ใต้ชั้นหิมะในไซบีเรียมาเป็นเวลาหลายล้านปี จนกระทั่ง ขุดค้นพบในปี พ.ศ.๒๐๑๕ ที่ผ่านมานี้เองในไซบีเรียที่หนาวเย็นสุดขั้ว ช่วยให้สัตว์ปีกมีประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารที่ดีจากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียที่สถาบัน State Instutute of Earth Cryosphere โดยเชื้อ บาซิลลัส เอฟ นี้ยังสามารถนำมาใช้สำหรับการผลิตยาเสริมภูมิคุ้มกันกันได้อีกด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่จะลดการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีก ผลการศึกษาเบื้องต้นโดยการใช้แบคทีเรียผสมในอาหารสัตว์ปีกที่ทำการวิจัยโดยสถาบันวิจัยชั้นนำหลายแห่งในรัสเซีย การทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยใช้หนูทดลอง และการทดสอบนำร่องในไก่ พบว่า เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เป็นความหวังใหม่ ดังนั้น นักวิจัยจึงเริ่มพัฒนาสูตรสำหรับยาที่ผสมแบคทีเรียชนิดใหม่นี้กับคอลอยด์ของเงิน ยาชนิดใหม่นี้จะทำการทดสอบในระดับฟาร์มสัตว์ปีกช่วงต้นปีนี้  หัวหน้าคณะผู้วิจัย Andrie Subbotin อ้างว่า แบคทีเรียที่ใช้ในการวิจัยค้นพบใต้น้ำแข็งลึกที่เทือกเขาแมมมอธในยูคาเทีย ก้อนหินบริเวณดังกล่าวสามารถสอบย้อนกลับไปได้ถึง ๓.๕ ล้านปีมาแล้ว เชื้อแบคทีเรียที่สามารถอยู่รอดใต้หิมะเย็นสุดขั้วเป็นเวลาหลายร้อยปี ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นใหม่ แล้วเจริญเติบโดตได้ที่อุณหภูมิสูงกว่า ๕ องศาเซลเซียส นักวิจัยยังไม่มั่นใจว่า เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ เนื่องจาก พื้นใต้น้ำแข็งยังสามารถซึมผ่านลงไปได้ นักวิจัยเชื่อว่า เชื้อแบคทีเรียใต้ชั้นหิมะเยือกแข็งดำรงอยู่ในสถานะที่มีกระบวนการเมตาโบลิซึมต่ำ แต่ยังสามารถดำรงชีพอยู่ได้
               เชื้อบาซิลลัส เอฟ ช่วยเพิ่มอัตราการแลกเปลี่ยนอาหาร และการเจริญเติบโต การให้เชื้อเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการเมตาโบลิซึม และภูมิคุ้มกันของสัตว์ทดลอง เป็นการส่งเสริมคุณภาพของชีวิต โดยเฉพาะ สัตว์ที่มีอายุมาก แสดงให้เห็นว่า ยาบาซิลลัส เอฟ น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับใช้ในการต่อสู้กับเชื้อโรค โดยเฉพาะ ซัลโมเนลลา หรือ MRSA นอกเหนือจากนั้น นักวิจัยรัสเซียยังทดลองในหนูที่ฉีดยาบาซิลลัส เอฟ แล้วประเมินผลโดยใช้ภาพ Resonance imagine พบว่า การฉีดสารสื่อกลางสองชนิด ได้แก่ กลูตาเมต และทอรีน ที่สามารถเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน และยืดอายุของเซลล์ได้ พบว่า กลูตาเมตช่วยเสริมในการออกฤทธิ์กระตุ้นสภาวะทางจิตใจ ขณะที่ ทอรีน มีอิทธิพลเกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญพลังงานในสิ่งมีชีวิต โดยสัตว์กลุ่มทดลองที่ให้วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม ๒๐ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับก่อนการให้วัคซีน นักวิจัยเชื่อว่า สัตว์ปีกในฟาร์มน่าจะเห็นผลบวกต่ออัตราการแลกเปลี่ยนอาหาร และอัตราการเจริญเติบโตที่ชัดเจน
               การทดสอบเบื้องต้น แสดงให้เห็นถึง การเพิ่มการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเป็นการลดโอกาสการปนเปื้อนเชื้อโรค อย่างไรก็ตาม ยังเร็วไปที่จะบอกว่า สามารถทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหาร แต่นักวิจัยเชื่อมั่นว่า การผสมแบคทีเรียเหล่านี้ ร่วมกับสารต้านจุลชีพ โดยเฉพาะ คอลลอยด์ของเงิน จะส่งเสริมฤทธิ์กัน และลดการใช้ยาปฏิชีวนะลงได้โดยคาดหวังว่าจะลดการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ปีกลงได้ราว ๓๐ ถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับปัจจุบัน ซึ่งจะเกิดผลดีต่อการแพทย์สมัยใหม่ที่มีการพัฒนาเชื้อดื้อยาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การทดลองเบื้องต้นในหนูทดลองก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การฉีดเชื้อแบคทีเรียเข้ากล้ามเนื้อเป็นผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ ช่วยยืดชีวิตสัตว์จากที่มีอายุเฉลี่ย ๕๘๙ วัน สามารถเพิ่มอายุขัยขึ้นได้อีก ๓๐๘ วัน ดังนั้น อายุเฉลี่ยของหนูทดลองที่ให้ยา บาซิลลัส เอฟ จึงเพิ่มขึ้นเป็น ๙๐๖ วัน และยังป้องกันปัญหาตาบอด เนื่องจาก สัตว์อายุมาก
               นักวิจัยกำลังพยายามประเมินประสิทธิภาพจากการผสมในอาหารสัตว์ โดยเฉพาะ ผลต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งสัตว์ และพืช โดยยาบาซิลลัส เอฟ ช่วยลดความเครียดในพืชช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และนิเวศวิทยา เพื่อให้มีผลผลิตที่ดีขึ้นได้จากผลการวิจัยในพืชที่ชอบอากาศร้อนอย่างข้าวโพด ปัจจุบัน ศูนย์วิจัย และสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพกำลังเริ่มพัฒนายาเสริมภูมิคุ้มกันที่อาจช่วยให้บริษัทเกษตรกรรมในรัสเซียสามารถผลิตข้าวโพดในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ และไซบีเรียที่ก่อนน้านี้มีอุปสรรคด้านภูมิอากาศสำหรับการเพาะปลูกข้าวโพดแทบจะเป็นไปไม่ได้มาก่อน นักวิจัยเชื่อว่า ผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของรัสเซีย การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์รัสเซียในอนาคตที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ และการปรากฏเชื้อโรคร้ายจากการผลิตโดยใช้ยาปฏิชีวนะมหาศาล รายงานวิจัยหลายฉบับ แสดงให้เห็นว่า การใช้ยาโดยปราศจากการควบคุมในรัสเซีย อัตราการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์สูงกว่ายุโรปประมาณ ๑๕ ถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์ จนกรมปศุสัตว์รัสเซียจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทต่อการควบคุมปัญหานี้ สภาดูมากำลังพิจารณากฏหมายที่ยกเลิกยาปกิชีวนะจากรายการยา OTC รวมถึง รัฐบาลรัสเซียกำลังปรับปรุงระบบการควบคุมด้านสัตวแพทย์ต่อการตลาดภายในประเทศ เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์

แหล่งข้อมูล        World Poultry (25/1/16) 









เชื้อ บาซิลลัส เอฟ ซ่อนอยู่ในแผ่นน้ำแข็งแถบไซบีเรียเป็นเวลาหลายล้านปีมาแล้ว










การค้นพบครั้งนี้อาจพลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกในรัสเซีย



วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

กล้องตรวจจับแคมไพฯในโรงเรือนเลี้ยงไก่

การตั้งกล้องภายในโรงเรือนเลี้ยงไก่เนื้อจะช่วยแจ้งสถานะฝูงไก่ว่า มีผลบวกต่อเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์หรือไม่ โดยให้ก่อนการจับไก่ได้ ๑๐ วัน งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ต เผยความเชื่อมโรงระหว่างจำนวนครั้งของการเคลื่อนที่ไก่ในโรงเรือน และโอกาสในการพบเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์
           การวิเคราะห์ผลทางจุลชีววิทยาจากตัวอย่าสำลีป้ายเชื้อจากมูลสัตว์ จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เพิเศษ และผลต้องใช้เวลาราว ๓ วัน แต่วิธีการใหม่นี้ แสดงให้เห็นว่า สามารถตรวจสอบฝูงที่มีโอกาสมีผลเป็นบวกได้แบบ Real time โดยใช้ซอฟท์แวร์ตรวจติดตามพฤติกรรมของไก่ในฝูง
               คณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ดตั้งกล้องไว้ ๔ ตัวในโรงเรือน ๓ แห่งจากบริษัทผู้ผลิตสัตว์ปีกในสหราชอาณาจักร พบว่า ฝูงที่มีการเลี้ยงแบบรวมเพศไม่ว่าจะเป็น รอส ๓๐๘ หรือคอบ ๕๐๐ ทั้งสองสายพันธุ์สามารถเลี้ยงได้ตามเป้าหมายความหนาแน่นที่ ๓๘ กิโลกรัมต่อตารางเมตร โดยใช้ข้อมูลจากการตรวจจับภาพอย่างต่อเนื่อง (Optical flow data) จากกล้องบันทึกภาพทั้งสี่ตัวตั้งแต่วันที่ ๒ ถึง ๓๐ ก่อนที่จะมีการจับไก่ระบาย
               ผลการทดสอบเชื้อซัลโมเนลลาในวันที่ ๒๑, ๒๘ และ ๓๕ เปรียบเทียบกับอัตราการเคลื่อนไหวของไก่ นักวิจัยสามารถแสดงให้เห็นว่า ฝูงที่มีการเคลื่อนที่สม่ำเสมอน้อยกว่า และเคลื่อนที่โดยภาพรวมน้อยกว่าให้ผลเป็นบวกต่อแคมไพโลแบคเตอร์ที่สูงกว่า ผลการวิจัยนี้ตีพิมพ์ในประมวลผลการวิจัย Proceedings of the Royal Society ให้คำอธิบายว่า ไก่ที่เคลื่อนที่น้อยก็มีแนวโน้มที่จะเก็บกักเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ไว้ในร่างกาย แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ความจริงแล้วการเคลื่อนที่น้อยลงนั้นอาจเป็นสาเหตุให้สุขภาพไก่ในฝูงแย่ลงก็ได้ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยโน้มนำให้ไก่มีโอกาสติดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ง่ายขึ้น หรือเชื้อแคมไพฯเองส่งผลต่อสุขภาพของไก่จนทำให้ไก่ไม่อยากจะลุกเดินไปไหนก็ได้   
ศ. Marian Dawkins ผู้เขียนผลการวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้มีหลักฐานทางสถิติที่ชัดเจนเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมไก่ในฝูง และสถานะของแคมไพโลแบคเตอร์ โดยเชื้อแคมไพฯน่าจะส่งผลต่อสุขภาพของไก่มากกว่าที่นักวิชาการคาดไว้มาก่อน ดังนั้น การใช้ข้อมูลจากการตรวจจับภาพต่อเนื่องจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อไปสำหรับการจัดการเลี้ยงไก่เชิงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ของผู้ผลิต ผู้บริโภค และตัวไก่ที่เลี้ยง ผู้จัดการฟาร์มสามารถเข้าถึงข้อมูลได้แบบ Real time จึงช่วยเตือนให้ทราบว่า ฝูงไก่ฝูงใดมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ และปัญหาสวัสดิภาพสัตว์ แล้วดำเนินการแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม

แหล่งข้อมูล        World Poultry (22/1/16) 

บทบาทของ Feed Additives ต่อการควบคุมแคมไพโลแบคเตอร์

ผลการศึกษาใหม่แสดงให้เห็นโอกาสในการใช้สารเติมอาหารสัตว์เพื่อลดการติดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในฟาร์มไก่เนื้อ
               เนื้อสัตว์ปีกเป็นแหล่สำคัญของโรคติดเชื้อซัลโมเนลลาในมนุษย์ ที่เป็นโรคสัตว์สู่คนที่พบได้บ่อยที่สุดตามรายงานของสหภาพยุโรป ความชุกของเชื้อแคมไพโลแลคเตอร์ในฟาร์มไก่เนื้อสูงถึง ๗๑ เปอร์เซ็นต์ตามรายงานใน EFSA พบว่า ผู้ป่วยโรคติดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ และลิสทีเรียเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งนับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๗ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ เป็นต้นมา ที่มีผู้ป่วยโรคติดเชื้อซัลโมเนลลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นครั้งแรก
               การคัดเลือกผลิตภัณฑ์สารเติมอาหารสัตว์ ๒๔ ชนิด ยังไม่มีชนิดใดที่สามารถป้องกัน หรือลดปริมาณเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในไก่เนื้อได้ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาหลายครั้ง ทดสองผลิตภัณฑ์โดยการเติมอาหารสัตว์ หรือน้ำเพื่อลดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในฟาร์ม โดยมีวิธีการออกแบบการทดลองแตกต่างกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบผลกันได้ ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการคัดเลือกผลิตภัณฑ์สารเติมอาหารสัตว์ ๒๔ ชนิดที่มีการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ หรือกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อลดปริมาณเชื้อในไส้ตันระหว่างการเลี้ยงจนถึงจับไก่
                ผลิตภัณฑ์เติมอาหารสัตว์ ๒ ชนิดที่ประกอบด้วย กรดอินทรีย์ หรือกรดไขมัน โมโนไกลซีไรด์ สารสกัดจากพืช พรีไบโอติก หรือโปรไบโอติก สำหรับสารเติมอาหารสัตว์แต่ละชนิดนั้น ไก่เนื้อที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ เจจูไน ป้อนอาหารที่ไม่มีการเติมสารใด (กลุ่มควบคุม) หรืออาหารที่เสริมด้วยผลิตภัณฑ์เติมอาหารสัตว์ (กลุ่มควบคุม) แล้วทดสอบปริมาณเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในแต่ละกลุ่มเปรียบเทียบสามครั้ง ไม่มีกลุ่มทดลองใดสามารถป้องกันการสร้างนิคมของแคมไพโลแบคเตอร์ และมีความแปรปรวนค่อนข้างสูง ที่อายุ ๑๔ วัน กลุ่มการทดลอง ๘ กลุ่ม สามารถลดการปนเปื้อนของเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ลงได้ ๒ ล็อก ซีเอฟยูต่อกรัมเทียบกับกลุ่มควบคุม ที่อายุ ๓๕ วัน ๓ กลุ่มทดลองยังสามารถลดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญโดยลดได้ดีที่สุด ๑.๘๘ ล๊อก ซีเอฟยูต่อกรัม ที่อายุ ๔๒ วัน มีเพียงกลุ่มเดียวที่ใช้กรดไขมันสายสั้นที่ยังมีประสิทธิภาพลดเชื้อลงได้มากกว่า ๒ ล็อก ซีเอฟยูต่อกรัม นอกจากนั้น โปรไบโอติก และพรีไบโอติก ยังสามารถลดการปนเปื้อนลงได้สูงที่สุด ๓ ล็อก เอฟยูต่อกรัมที่อายุ ๔๒ วัน
               ผลการวิจัยนี้สร้างความหวังให้กับนักวิจัยต่อการใช้สารเติมอาหารสัตว์เพื่อลดการติดเชื้อซัลโมเนลลาในฟาร์ม อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการหลายวิธีร่วมกันที่ทุกระดับของการผลิตเนื้อไก่จึงจะให้ผลที่ดีที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค การวิจัยครั้งนี้เป็นโครงการใหญ่ชื่อว่า แคมไพโบร สนับสนุนโดยสหภาพยุโรปตามโครงการวิจัย และพัฒนา โดยดำเนินการวิจัยโดยหน่วยวิจัยที่ฝรั่งเศส สเปน และเนเธอร์แลนด์

แหล่งข้อมูล        World Poultry (26/1/16) 

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สร้างสำนึกใหม่ ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์ม

หลังข่าวใหญ่ การค้นพบกลไกการดื้อยาใหม่ในแบคทีเรียจากสุกร เนื้อสุกร เนื้อสัตว์ปีก และมนุษย์จากประเทศจีน นับเป็นอันตรายด้านสาธารณสุข เนื่องจาก การดื้อยาครั้งนี้เป็นยาปฏิชีวนะชนิดสุดท้ายที่ใช้สำหรับการแพทย์  ศ. ดิค เมเวียส แสดงความเห็นถึงการผลิตสัตว์ปีกนับจากนี้
               โคลิสตินเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ในสัตว์สำหรับการรักษา และควบคุมอาการท้องเสียเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วในปศุสัตว์  แต่ปัจจุบัน โคลิสตินถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ เนื่องจาก การพัฒนาการดื้อยาอย่างต่อเนื่องในช่วงสิบปีที่ผ่านมา การแพร่กระจายของเชื้อ ESBL และเชื้อก่อโรคที่สร้างเอนไซม์คาร์เบนเพเนเมส ทำให้ยาโคลิสตันเป็นยาปฏิชีวนะชนิดสุดท้ายสำหรับการติดเชื้อในมนุษย์ที่ติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาพร้อมกันหลายชนิด รายงานการดื้อยาครั้งล่าสุดในประเทศจีนจึงเป็นปัญหาสำคัญสำหรับมนุษย์
               นับตั้งแต่ทศวรรษที่ ๑๙๕๐ เป็นต้นมา โคลิสตินถูกใช้ปริมาณมากในปศุสัตว์ เพื่อรักษา และควบคุมอาการท้องเสียจากเชื้อ  อี. โคลัย และซัลโมเนลลา ในลูกโค และสุกร ในสัตว์ปีก โคลิสตินใช้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อโคลัยบาซิลโลซิสในแม่ไก่ โดยต้องมีระยะหยุดยาสำหรับการให้ไข่ การใช้โพลีมิกซินค่อยๆลดลงในช่วงสิบปีที่ผ่านมาแล้ว เมื่อเร็วๆนี้ นักวิทยาศาสตร์ชาวจีน และอังกฤษ รายงานเชื้อ อี. โคลัย ที่ดิ้อยาโคลิสติน ในประเทศจีน และหลายส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการถ่ายทอดการดื้อยานี้พบในสุกร เนื้อสุกร เนื้อสัตว์ปีก และผู้ป่วยชาวจีน  
               มีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ และการดื้อยาในสัตว์ที่โรงฆ่า อาหาร และมนุษย์ การดื้อยานี้มีสาเหตุมาจากการกลายพันธุ์ของยีน MCR-1 และสามารถแพร่กระจายได้ ตัวอย่างจากการศึกษาครั้งนี้มาจากเนื้อสุกร และเนื้อสัตว์ปีกในซูเปอร์มาร์เก็ต และตลาดสด รวมถึง ตัวอย่างที่เก็บจากผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตัวอย่าง ๒๐ เปอร์เซ็นต์มาจากสัตว์ และ ๑๕ เปอร์เซ็นต์มาจากเนื้อที่ตรวจพบเชื้อดื้อยา การดื้อยาครั้งนี้สร้างความวิตกกังวลว่า แบคทีเรียจะสามารถถ่ายทอดภาวะดื้อยาไปยังแบคทีเรียชนิดอื่นๆข้ามชนิดกัน แม้ว่าจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ความเชื่อมโยง แต่เชื่อว่า อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งต้นตอของเชื้อดื้อยา ในประเทศจีน ยาปฏิชีวนะนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเลี้ยงสัตว์
อันตรายต่อชีวิตมนุษย์
               การพัฒนาเชื้อดื้อยาครั้งนี้ได้สร้างความกดดันต่อภาคสาธารณสุข โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับปัญหา ESBL ที่เกิดขึ้นแล้วทั่วโลก จำเป็นต้องมีการเตือนภัย ไม่ใช่เพราะว่า การดื้อยาโคลิสตินเป็นปัญหาใหญ่หลวงในการเลี้ยงสัตว์ แต่เพื่อไม่ให้อุตสาหกรรมการผลิตปศุสัตว์เป็นแหล่งของเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ เชื้อแบคทีเรียดื้อยาสามารถระบาดไปได้ทั่วโลกภายในระยะเวลาอันสั้น ในกรณีร้ายแรง แพทย์จะไม่มียาเหลือไว้ให้ใช้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อในมนุษย์เป็นการหวนกลับไปสู่ยุคก่อนการใช้ยาปฏิชีวนะ ในอนาคต เชื่อว่า การระบาดเชื้อดื้อยาจะเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนในแต่ละปี  

เชื้อจะระบาดอย่างรวดเร็ว
               โลกในยุคโลกาภิวัฒน์นี้ทำให้ความเชื่อมโยง และความสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์แคบลง และทั่วถึง มีการแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลาทั้งข้อมูลข่าวสาร คน และสินค้า ผลิตภัณฑ์ต่างๆรวมถึง เนื้อสัตว์ปีก มีการผลิต และจำหน่ายจากทั่วทุกมุมโลก ปัญหาต่างๆจะไม่เกิดขึ้นเพียงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่จะระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว มนุษย์ สิ่งของ และนกป่าเป็นพาหะที่สำคัญของโรค ปัจจุบัน นักวิจัยกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด หากห่วงโซ่การผลิตแพร่เชื้อแบคทีเรียนี้ไปแล้ว ก็อาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
               ขณะนี้ โลกกำลังให้ความสนใจเชื้อดื้อยาครั้งนี้อย่างใกลชิด ก่อนหน้านี้มีความพยายามเรียกร้องให้ลดการใช้ยาโพลีมิกซินในการเลี้ยงสัตว์ ถึงตอนนี้ เราต้องทบทวนข้อเรียกร้องเหล่านี้ และยกระดับถึงขั้นสูงที่สุดต่อรัฐบาล โดยเฉพาะการใช้ยาโคลิสติน ที่อาจต้องกำหนดให้มีการห้ามใช้สำหรับปศุสัตว์ ทั้งภาครัฐบาล และองค์กรสัตวแพทย์จำเป็นต้องพิจารณากรณีดังกล่าวโดยเร็วที่สุด ขณะนี้ ระดับยุโรป และโลก กำลังพิจารณาประเด็นนี้ แต่กระบวนการนั้นมีขั้นตอนที่ยาวนาน และมีพลังน้อยลง ทั้งที่เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน
               ในปี ค.ศ.๒๐๑๒ กลุ่มที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกว่าด้วย การเฝ้าระวังการดื้อยา อ้างถึงยาโคลิสตินว่าเป็นยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง การใช้ยาโคลิสตินต้องลดลง แม้ว่า ประเทศตะวันตกจะยังมีอิทธิพลต่อเอเชีย อย่างไรก็ตาม ทั้งภาคการเมือง และวิทยาศาสตร์ต้องร่วมมือกันผลักดัน เพื่อให้ประเทศเอเชียเกิดความตระหนักถึงผลลบของการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ และตระหนักการใช้ทางเลือกที่ไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์
ภาคการผลิตสัตว์ปีกควรปรับตัวอย่างไร
               เพื่อสร้างความปลอดภัยต่อสุขภาพมนุษย์ จำเป็นต้องสร้างสำนึกใหม่ให้มุ่งใส่ใจสุขภาพสัตว์แทนที่จะคิดผลิตสัตว์ให้ต้นทุนต่ำ โดยให้ความสำคัญกับการจัดการเพื่อป้องกันโรคแทนที่จะใช้ยาปฏิชีวนะ    

แหล่งที่มา:          ศ. ดิค เมเวียส สถาบันสัตวแพทย์แห่งเนเธอร์แลนด์ (14/12/15)
 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หวัดนกเอช ๕ ถล่มพร้อมกัน ๓ ซีโรไทป์ในฝรั่งเศส

จำนวนฟาร์มติดเชื้อโรคไข้หวัดนกทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสเพิ่มสูงขึ้นเป็น ๑๕ ราย การระบาดของโรคได้แพร่กระจายจากฟาร์มใกล้กับชายแดนของสเปนไปยัง Limoges ห่างไปอีก ๔๐๐ กิโลเมตร ดังนั้น สัตว์ปีกหลายหมื่นตัวทั้งเป็ด ไก่ นกกระทา ถูกทำลายไปแล้ว ขณะที่ ประเทศนอกกลุ่มอียูได้แบนสัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์จากฝรั่งเศสเรียบร้อยแล้ว
               กรมปศุสัตว์ฝรั่งเศสได้เน้นย้ำว่า ซีโรไทป์ที่มีการระบาดไม่สามารถติดเชื้อสู่คนได้ และแตกต่างอย่างมากกับเชื้อไวรัสที่ระบาดในเอเชียที่มีการกลายพันธุ์ และติดเชื้อสู่คน ดังนั้น การบริโภคเนื้อไก่ ฟรัวกราซ์ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกอื่นๆจะยังไม่เป็นอันตรายสู่สุขภาพมนุษย์ ในฟาร์มที่เกิดการระบาดตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกทั้ง H5N1, H5N2 และ H5N9 โดยยังไม่เคยพบมาก่อนว่า โรคไข้หวัดนกมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วพร้อมกันหลายๆซีโรท์ในเวลาเดียวกัน ดร. เบอร์นาร์ด วัลแลต ผู้อำนวยการ OIE กล่าวไว้ก่นอหน้านี้ โดยเชื่อว่า เชื้อไวรัสได้กลายพันธุ์จากเชื้อไวรัสชนิดความรุนแรงต่ำไปเป็นเชื้อไวรัสชนิดความรุนแรงสูงซีโรไทป์ต่างๆพร้อมกัน หรือไม่ก็เชื้อไวรัสต่างซีโรไทป์มีการแลกเปลี่ยนยีนส์กัน
 แหล่งที่มา:         Ruud Peys (16/12/15)

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หกวิธีต่อสู้ปัญหาเซลลูไลติส

เซลลูไลติสเป็นสาเหตุสำคัญของการปลดซากไก่เนื้อ และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อผู้ผลิต ๖ วิธีต่อสู้กับปัญหาเซลลูไลติสตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงไก่ ได้แก่ การส่งเสริมการพัฒนาขนปกคลุมร่างกาย การตรวจติดตามความหนาแน่นของการเลี้ยง ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพที่เข้มงวด ปรับเวลาการให้วัคซีน ปรับปรุงการจัดการให้ทันต่อเหตุการณ์ และสร้างเสริมสุขภาพที่ดีของลำไส้
๑.     การส่งเสริมการเจริญเติบโตของขน การนำสายพันธุ์ที่ขนขึ้นช้า (Slow-feathering genetic line) ได้เพิ่มปัญหาเซลลูไลติสขึ้นอย่างมาก การเลี้ยงไก่เนื้อสมัยใหม่ได้เปิดโอกาสให้ผิวหนังบริเวณท้องมีโอกาสเกิดรอยขีดข่วนขึ้นกว่าเดิม มีผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ขนของไก่ที่อายุ ๒๘ วันเป็นปัจจัยโน้มนำที่สำคัญที่สุดของการเกิดปัญหาเซลลูไลติส ดังนั้น การจัดการไก่เนื้อที่ดีส่งเสริมให้มีการเจริญงอกขึ้นของขนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก รวมถึง หลีกเลี่ยงการจัดการอากาศที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะที่อายุ ๒ ถึง ๔ สัปดาห์ ช่วยกระตุ้นการเจริญงอกขึ้นของขน และลดปัญหาเซลลูไลติสได้
๒.    การตรวจติดตามความหนาแน่นของไก่ หากจำนวนไก่มีความหนาแน่นสูงเกินไปจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดรอยขีดข่วนที่ส่งผลให้อัตราการเกิดเซลลูไลติสสูงขึ้น ความสัมพันธ์อย่างง่ายๆดังนี้ ไก่มาก = รอยข่วนมาก = เซลลูไลติสสูง มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะ ในฟาร์มที่ความหนาแน่นของไก่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีการเพิ่มอุปกรณ์การให้อาหาร และน้ำ จนทำให้ไก่ต้องแก่งแย่งกันกินอาหาร และน้ำ
๓.     เข้มงวดระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ คุณภาพวัสดุรองพื้นที่แย่ก็มีความสัมพันธ์กับอุบัติการณ์ปัญหาเซลลูไลติสที่สูงขึ้น วัสดุรองพื้นที่เปียกเป็นสิ่งแวดล้อมในอุดมคติสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เมื่อท้องของไก่สัมผัสกับวัสดุรองพื้นที่เปียกตลอดเวลาก็จะเพิ่มการปนเปื้อนของแบคทีเรียผ่านรอยขีดข่วน การถ่ายทอดเชื้อโรคจากวัสดุรองพื้นเข้าสู่ร่างกายไก่โดยตรง สภาพวัสดุรองพื้นที่เปียกยังส่งผลให้เล็บไก่สกปรกเต็มไปด้วยแบคทีเรียภายใน และสงผ่านเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่รอยแผลได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรงเรือนระหว่างพักโรงเรือนจึงมีความสำคัญมาก ระยะพักโรงเรือนมากกว่า ๑๕ วันสามารถช่วยลดอุบัติการณ์เซลลูไลติสได้
๔.    ปรับเวลาการให้วัคซีน โปรแกรมวัคซีนที่โรงฟักสามารถลดปัญหาการคัดซากไก่เนื้อทิ้ง เนื่องจาก ปัญหาเซลลูไลติสที่โรงเชือดได้ ผลการศึกษาทางตอนใต้ของประเทศบราซิล แสดงให้เห้นว่า การให้วัคซีนกัมโบโรที่โรงฟักแทนที่จะให้ที่ฟาร์ม ช่วยลดปัญหาการปลดซากทิ้งจากปัญหาเซลลูไลติสได้อย่างมาก
๕.    ปรับแผนการจัดการให้ทันสมัยตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่า มีการทบทวนการจัดการที่ฟาร์ม อุปกรณ์ และผังฟาร์มที่เหมาะกับไก่สายพันธุ์ใหม่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ การระบายอากาศ การให้อาหาร และน้ำเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
๖.      การสร้างเสริมสุขภาพลำไส้ที่ดี เชื้อ อี. โคลัย เป็นเชื้อที่เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาเซลลูไลติส และเป็นเชื้อโรคฉวยโอกาสที่อาศัยในลำไส้ไก่แพร่กระจายผ่านมูลไก่ที่ถ่ายลงสู่วัสดุรองพื้น โปรไบโอติก เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์สามารถปรับจุลินทรีย์ในลำไส้ และลดการแพร่กระจายเชื้อ อี. โคลัย สู่สิ่งแวดล้อม การใช้จุลินทรีย์แข่งขัน ก็สามารถป้องกันเชื้อโรคมิให้เกาะยึดเซลล์ลำไส้ หรือเซลล์ที่มีหน้าที่ดูดซึมอาหารในลำไส้ และสร้างสารต่อต้านจุลชีพตามธรรมชาติ เช่น กรดอินทรีย์ และแบคเทอริโอซิน จุลชีพเหล่านี้ทำให้เชื้อ อี. โคลัย แบ่งเซลล์ และเพิ่มจำนวนได้ลำบาก เป็นการลดการแพร่กระจายเชื้อ อี. โคลัย เข้าสู่สิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงลดโอกาสการติดเชื้อ อี. โคลัย ผ่านรอยขีดข่วน และแผลที่ผิวหนัง การศึกษาโดย Estrada และคณะ (2001) แสดงให้เห็นว่า การให้เชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ ไบฟิโดแบคทีเรียให้ไก่เนื้อช่วยลดอุบัติการณ์เซลลูไลติสในซากที่โรงฆ่า เชื้อแบคทีเรียกลุ่ม บ. ไบฟิเดียม มีอัตราการปนเปื้อนซากทั้งตัวต่ำลงกว่ากลุ่มควบคุม (๒.๘ และ ๔.๔ เปอร์เซ็นต์) และลดอุบัติการณ์ของปัญหาเซลลูไลติสลงกว่ากลุ่มควบคุม (๓๒.๑ และ ๕๕.๔ เปอร์เซ็นต์)

แหล่งที่มา:          Luca Vandi (28/10/15)

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...