ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติกำลังตั้งคำถามว่า ประเทศต่าง ๆ ควรยังคงใช้กฎการค้าสัตว์ปีกที่มีอยู่เดิมต่อไปหรือไม่
การตั้งกำแพงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
ในขณะที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับนั้นมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด? นี่คือหนึ่งในคำถามที่
ริคาร์โด ซานติน ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติ หรือไอพีซี และสมาคมโปรตีนจากสัตว์แห่งบราซิล
หรือเอบีพีเอ ได้หยิบยกขึ้นมาในการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและผลกระทบทางเศรษฐกิจระดับโลกจากการที่ไวรัสเอช
๕ เอ็น ๑ อาจถูกนำเข้าสู่สัตว์มีชีวิตผ่านเนื้อสัตว์นำเข้า
ซานตินตั้งคำถามในเอกสารสั้นแต่ตรงไปตรงมาที่ส่งให้สื่อ
ถึงการตัดสินใจของหลายประเทศที่เมื่อเกิดการระบาดของไข้หวัดนก
ก็จะสั่งห้ามนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกจากประเทศที่ได้รับผลกระทบทันที หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เขากล่าวถึงคือ
การที่มีนกป่าซึ่งเป็นพาหะของไวรัสบินข้ามพรมแดน
ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและเราไม่สามารถควบคุมได้ เว้นแต่จะกำจัดนกเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้เลยในทางปฏิบัติ
อีกข้อเท็จจริงหนึ่งคือไวรัสเอช
๕ เอ็น ๑ สามารถคงสภาพการติดเชื้อได้ในเนื้อสัตว์ดิบแช่แข็งเป็นเวลานานกว่า ๖๐ วัน
ที่อุณหภูมิ -๑๘ องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม
การที่ไวรัสยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้หมายความว่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อเสมอไป
เช่น หากผลิตภัณฑ์นั้นผ่านกระบวนการในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่มีการควบคุม
หรือหากปรุงสุกที่อุณหภูมิมากกว่า ๗๔ องศาเซลเซียส เพื่อการบริโภคของมนุษย์ ก็จะสามารถทำลายไวรัสได้
ยึดหลักวิทยาศาสตร์
ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติ
เน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของการยึดหลักการทางวิทยาศาสตร์ หากเรายึดตามหลักนี้ องค์การสุขภาพสัตว์โลก ได้จัดประเภทการค้าสินค้าสัตว์ปีกที่ผ่านการตรวจสอบว่าเป็นการค้าที่ปลอดภัย
แม้จะมาจากประเทศที่มีการระบาดของไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาจากพื้นที่ที่เกิดการระบาด
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ซานตินเน้นให้พิจารณาระบบการแบ่งเขตและการแบ่งส่วนการผลิตหรือคอมพาร์ตเมนต์ตามแนวทางของ
องค์การสุขภาพสัตว์โลก ประเทศที่ยังไม่ได้นำแนวทางนี้มาใช้ในการค้าระหว่างประเทศควรพิจารณาอย่างจริงจัง
การนำหลักการป้องกันไว้ก่อนมาใช้กับผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคของมนุษย์
โดยปราศจากการพิจารณาอย่างรอบด้านนั้น ส่งผลกระทบต่อการค้า
และที่สำคัญคือไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ
การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าไม่สามารถยุติการระบาดของไข้หวัดนกในระดับโลกได้
บราซิลกำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหล่านี้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
อุตสาหกรรมสัตว์ปีกทั่วโลกได้รับผลกระทบมาเป็นเวลานานอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงคือ
ขณะนี้ประเทศผู้ส่งออกสัตว์ปีกรายใหญ่ที่สุดอย่างบราซิล เกิดการระบาดของไข้หวัดนกชนิดรุนแรงภายในประเทศ
เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าสัตว์ปีก และอีกข้อเท็จจริงคือ สิ่งต่าง ๆ
จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
ไม่สามารถดำเนินต่อไปในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไปเมื่อพิจารณาจากจากองค์ความรู้ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี
และจากความจริงที่ว่าตลาดผู้นำเข้ายังคงต้องการอาหารอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้ผลิตไก่เนื้อจำนวนมากจะไม่ชอบการให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดนก
แต่บางรายก็เริ่มปรับตัวและอยู่ร่วมกับมันได้
เราควรตระหนักว่าอุตสาหกรรมสัตว์ปีกไม่ได้หมายถึงเฉพาะเนื้อไก่เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงไข่ ไก่งวง และวัสดุพันธุกรรมด้วย ขณะเดียวกัน
นกป่าก็ยังคงบินข้ามพรมแดนอย่างไม่มีข้อจำกัด จึงมีการเสนอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงหลักการในด้านกฎระเบียบ
โดยอิงจากความเสี่ยงที่แท้จริง หลักวิทยาศาสตร์ และความเหมาะสมตามสัดส่วน
เอกสารอ้างอิง
Ruiz B. 2025. Analyzing transmission of H5N1
virus through imported meat. [Internet]. [Cited 2025 Sep 5].
Available from: https://www.wattagnet.com/blogs/latin-america-poultry-at-a-glance/blog/15754644/analyzing-transmission-of-h5n1-virus-through-imported-meat
ภาพที่ ๑ การตั้งกำแพงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
ในขณะที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับนั้นมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด? (แหล่งภาพ
smartschwarz
| Pixabay)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น