วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ วิเคราะห์ขาพิการจากโรคบีซีโอ

ปัญหาขาพิการส่งผลต่อการสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยภาพรวมคิดเป็นร้อยละ ๑ ของน้ำหนักไก่เนื้อส่งตลาดในสหรัฐฯ และโรคบีซีโอเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด ผลการวิจัยล่าสุดที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอใช้เครื่องมือ อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ ตรวจสอบตำแหน่งของการสร้างความร้อนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการอักเสบ 
              ไก่เนื้ออาจเกิดปัญหาขาพิการจากสาเหตุของโรคติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อก็ได้ โรคบีซีโอ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่แถบการเจริญเติบโตของกระดูก หรือโกรธเพลตในกระดูกขา ทำให้เกิดเนื้อตาย และขาพิการในที่สุด สาเหตุของบีซีโอยังไม่ทราบแน่ชัด และอุบัติการณ์ของปัญหาขาพิการจากโรคบีซีโอในฟาร์มเลี้ยงไก่มักเกิดขึ้นเอง แรงกดทางกายภาพจากการเดินสามารถสร้างรอยแตกขนาดจิ๋วในแถบการเจริญเติบโตของกระดูกที่ส่วนต้นของกระดูกแข้ง และกระดูกต้นขา ดังนั้นจึงเกิดเป็นตำแหน่งรอยแผลดึงดูดให้แบคทีเรียที่อยู่ในกระแสเลือดเข้ามาสร้างนิคมต่อไปได้ เช่นเดียวกับการสร้างนิคมของเชื้อโรคทุกชนิด รอยโรคของบีซีโอส่งผลให้เกิดการอักเสบ เจ็บปวด แล้วพัฒนาต่อไปเป็นความเครียด และปัญหาขาพิการ ที่เป็นประเด็นปัญหาด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่สำคัญ โดยเฉพาะ เมื่อไก่ไม่สามารถเดินเข้าถึงอาหาร และน้ำได้ 
              การวิจัยใช้เครื่องมือ อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ เพื่อบันทึกภาพอุณหภูมิของขาไก่เนื้อที่สุ่มเลือกมาได้ ๕ ตัวจากโรงเรือนในวันที่ ๗ (๖ ห้อง) ๙ (๖ห้อง) ๒๘ (๖ ห้อง) ๓๐ (๑๒ ห้อง) ๓๘ (๑๒ ห้อง) และ ๕๖ (๑๒ ห้อง) การใช้เครื่องมือ อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ (Infrared thermography, IRT) เป็นเทคนิคที่ไม่ทำให้สัตว์เกิดความเจ็บปวด สามารถตรวจวัดการแผ่รังสีอินฟราเรดจากวัตถุ และสามารถใช้ประเมินสุขภาพสัตว์ได้อีกด้วย หลังจากเลี้ยงต่อไป ไก่ทดลองจะถูกฆ่าโดยไม่ทรมาน และตรวจสอบดูความรุนแรงของรอยโรคบีซีโอที่หัวกระดูกแข้ง และกระดูกต้นขาส่วนต้น 
              นักวิจัยตั้งสมมติฐานว่า การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่พื้นผิวจาก IRT ที่ตำแหน่งสำคัญของกระดูกจะช่วยตรวจสอบโรคบีซีโอได้โดยสัตว์ไม่ต้องเกิดความเจ็บปวด แบบจำลองพื้นลวด (wire flooring model) ถูกนำมาใช้สำหรับการเหนี่ยวนำอุบัติการณ์ของโรคบีซีโอให้สูงกว่าปรกติ เป็นสภาวะที่พบได้บ่อยภายใต้การผลิตไก่เนื้อเชิงพาณิชย์ โดยไม่มีการป้อนเชื้อก่อโรคใดๆ แบบจำลองพื้นลวดทำให้พื้นที่การเดินไม่มั่นคง เป็นการเพิ่มความเครียดจากแรงฉีก และแรงบิดต่อแถบการเจริญเติบโตของกระดูกยาว เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคบีซีโอ และอุบัติการณ์ขาพิการ การวิจัยครั้งนี้ยังประเมินผลของความเข้มแสง ๓ ระดับคือ ๒ ๕ และ ๑๐ ลักซ์ และพื้นอีก ๒ แบบ ได้แก่ พื้นที่ใช้วัสดุรองพื้น และพื้นลวด แล้วประเมินอุณหภูมิพื้นผิวด้วยเครื่อง IRT ในข้อเข่า แข้ง และเท้า  ของไก่เนื้อ อุณหภูมิที่พื้นผิวของขาถูกตรวจวัดด้วยภาพจากเครื่อง IRT ก่อนผ่าซาก แล้วเปรียบเทียบกับคะแนนความรุนแรงของรอยโรคบีซีโอที่หัวกระดูกต้นขาหลังการผ่าซาก ทั้งไก่สุขภาพดี และขาพิการ ผลการศึกษา ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาขาพิการได้จากอุณหภูมิพื้นผิวที่ขาได้
              โดยสรุป ไก่เนื้อที่ขาพิการจะมีรอยโรคบีซีโออย่างรุนแรงมากกว่าในส่วนต้นของกระดูกต้นขา แข้ง และมีอุณหภูมิพื้นผิวจากเครื่อง IRT ที่ต่ำลงจากบริเวณข้อเข่า แข้ง และเท้า ผลของความเข้มแสง และลักษณะพื้นต่อสุขภาพขายังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด อุบัติการณ์สำหรับไก่เนื้อที่เลี้ยงบนพื้นลวดจากการทดลองที่ ๑ สูงกว่าการทดลองที่ ๒ และการตรวจวัดในการศึกษาครั้งนี้ก็ไม่สามารถอธิบายความแตกต่างดังกล่าวได้ เนื่องจากธรรมชาติของอุบัติการณ์ปัญหาขาพิการจากโรคบีซีโอที่เกิดขึ้นเองได้ โดยไม่ทราบสาเหตุ คงต้องมีการวิจัยให้ลึกซึ้งกว่านี้เพื่อสร้างความกระจ่างชัดว่า ปัจจัยโน้มนำอะไรบ้างที่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดขาพิการจากโรคบีซีโอได้ชัดๆ อย่างน้อยผลการวิจัยครั้งนี้ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่า เครื่อง IRT สามารถตรวจสอบโรคบีซีโอได้อย่างแม่นยำจากการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิพื้นผิวที่ขา แม้ไก่จะไม่ได้แสดงอาการปรากฏให้เห็นก็ตาม ต่อไปในอนาคต นักวิจัยก็จะสามารถนำเครื่องมือนี้สำหรับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ไก่ เพื่อลดปัญหาขาพิการจากโรคบีซีโอในไก่เนื้อได้

เอกสารอ้างอิง
Weimer et al. 2019. Using infrared thermography for evaluating BCO lameness. [Internet]. [Cited 2019 Mar 22]. Available from: https://www.poultryworld.net/Health/Articles/2019/5/Using-infrared-thermography-for-evaluating-BCO-lameness-430435E/


ภาพที่ ๑ ไก่เนื้อขาพิการพบรอยโรคบีซีโออย่างร้ายแรงที่กระดูกต้นขา และแข้ง โดยมีอุณหภูมิพื้นผิวจากเครื่อง IRT ต่ำลงที่ข้อเข่า แข้ง และบริเวณเท้า (แหล่งภาพ: Studio Kastermans)

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

นักวิจัยยืนยันการกินไข่ไม่เกี่ยวกับสโตรค


นักวิจัยยืนยันว่า การบริโภคไข่เพียงวันละฟองไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคสโตรค จากผลการวิจัยในสแกนดิเนเวีย
สโตรค (Stroke) หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่ทำให้สมองขาดเลือดจนทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จนทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้าและ/หรือบริเวณแขนขาครึ่งซีกของร่างกาย พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว มุมปากตก น้ำลายไหล กลืนลำบาก ปวดศีรษะ เวียนศีรษะทันทีทันใด ตามัว มองเห็นภาพซ้อนหรือเห็นครึ่งซีก หรือตาบอดข้างเดียวทันทีทันใด เดินเซ ทรงตัวลำบาก
นักวิจยไม่พบความสัมพันธ์กับพาหะของฟีโนไทป์ เอพีโออี ๔ ที่มีบทบาทสำคัญต่อเมตาโบลิซึมของคอเลสเตอรอล และพบได้บ่อยในประชากรชาวฟินแลนด์ ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ รายงาน ความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารที่มีคอเลสเตอรอล หรือไข่ไก่ และความเสี่ยงต่อสโตรคได้ถูกโต้แย้งจากรายงานการวิจัยจำนวนมากในปัจจุบัน ผลวิจัยล่าสุดในประชากร ๓๐,๐๐๐ ราย เพิ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในสหรัฐฯ พบว่า การกินไข่ไก่เฉลี่ย ๒ ฟองต่อวัน มีความเสี่ยงต่อหัวใจวาย และโรคตามระบบหัวใจ และหลอดเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๗ และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๔
แต่ผลการวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำ American Journal of Clinical Nutrition พบว่า การบริโภคไข่ไก่ หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงไม่มีความสัมพันธ์กับสโตรคที่เพิ่มขึ้น

ผลวิจัยที่น่าประหลาดใจ
                การวิเคราะห์ข้อมูลโดยมหาวิทยาลัยฟินแลนด์ตะวันออกโดยใช้ข้อมูลด้านสุขภาพ และโภชนาการจากชาย ๑ ๙๕๐ คน อายุระหว่าง ๔๒ ถึง ๖๐ ปี ที่ไม่มีประวัติโรคหัวใจ และหลอดเลือด เป็นเวลาต่อเนื่องกว่า ๒๑ ปี มีผู้ป่วยสโตรค ๒๑๗ ราย
               โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ชายกินไข่ราว ๔.๕ ฟองต่อสัปดาห์ ได้รับคอเลสเตอรอล ๔๐๘ มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อพิจารณาพฤติกรรม และสุขภาพ นักวิจัยพบว่า ไม่พบความแตกต่างของความเสี่ยงระหว่างผู้ชายที่กินไข่ไก่น้อยกว่า ๒ ฟองต่อสัปดาห์ และผู้ชายที่กินไข่ไก่มากกว่า ๖ ฟองต่อสัปดาห์

ผลวิจัยไม่สามารถตีความครอบคลุมถึงทุกคน ทุกประเทศได้
               ผลวิจัย บ่งชี้ว่า การกินคอเลสเตอรอล หรือไข่ไก่ ปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของสโตรค แม้กระทั่งในคนที่มีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยโน้มนำที่จะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลจากการบริโภคอาหารสูงขึ้นกว่าคนปรกติก็ตาม กลุ่มควบคุมที่กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงที่สุด ๕๒๐ มิลลิกรัมต่อวัน และกินไข่ไก่เฉลี่ยแล้ววันละฟอง โดยไม่สามารถทำให้สูงไปกว่าระดับนี้ได้  
ไข่ไก่ ๑ ฟองประกอบด้วยคอเลสเตอรอลประมาณ ๒๐๐ มิลลิกรัม และจากการทดลองครั้งนี้ หนึ่งในสี่ของคอเลสเตอรอลทั้งหมดที่กินเข้าไปมาจากไข่ไก่

กินไข่ไก่แต่พอประมาณ
               การศึกษาครั้งนี้ ย้ำให้นักวิจัยมุ่งไปที่คนที่ไม่เคยมีประวัติโรคหัวใจ และหลอดเลือดมาก่อน และกลุ่มประชากรที่ศึกษาค่อนข้างน้อย นักวิจัยแนะนำให้การศึกษาในอนาคตควรขยายขนาดกลุ่มประชากรให้ใหญ่กว่านี้ รวมถึง ควรครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างประชากรที่เคยมีประวัติโรคหัวใจ และหลอดเลือด และกำลังได้รับคำแนะนำให้จำกัดการกินคอลเลสเตอรอล และไข่ไก่
               หัวหน้าคณะผู้วิจัย Jyrki Virtanen แห่งภาควิชาระบาดวิทยาที่มหาวิทยาลัยฟินแลนด์ตะวันออก กล่าวกับนิวยอร์กไทม์ไว้ว่า การกินไข่ไก่แต่พอประมาณเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดี ไม่มีปัญหาโรคหัวใจ หรือเบาหวาน การกินไข่ไก่ 1 ฟองต่อวันเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ
                การศึกษาครั้งนี้ตีพิมพ์หลังจากรายงานจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร วิเคราะห์ข้อมูลจากชาย และหญิงมากกว่า ๔๐๐,๐๐๐ รายในยุโรปเป็นเวลา ๑๒ ปี และพบว่า การเพิ่มการกินไข่ไก่ทุกร้อยละ ๒๐ (ประมาณครึ่งฟองต่อวัน) ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ American Heart Association Journal โดยยังพบผลดีจากการบริโภคโยเกิร์ต และชีส ขณะที่การบริโภคเนื้อแปรรูป และเนื้อแดง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ  

เอกสารอ้างอิง
McDougal T. 2019. Research shows egg consumption not linked to stroke risk. [Internet]. [Cited 2019 Mar 24]. Available from: https://www.poultryworld.net/Eggs/Articles/2019/5/Research-shows-egg-consumption-not-linked-to-stroke-risk-431673E/

ภาพที่ ๑ นักวิจัยยืนยันการกินไข่ไม่เกี่ยวกับสโตรค (แหล่งภาพ Willem Schouten)


วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ล็อกเป้าเปปทิโดไกลแคนส์เพื่อ FCR โดดเด่นกว่าที่เคย

การเลี้ยงไก่เนื้อเป็นระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ประกอบการผลิตสัตว์ปีก การใช้สารอาหารทุกชนิดอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญ การใช้เวลาของปฏิกิริยาการเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของเปปทิโดไกลแคนส์สามารถช่วยลดการเกิดเศษเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ของสัตว์ปีก เพื่อช่วยรักษาการทำหน้าที่ตามปรกติของกระเพาะอาหาร และลำไส้ รวมถึง การย่อย และดูดซึมอาหารอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

              ต้นทุนของอาหารสัตว์โดยทั่วไปอยู่ระหว่างร้อยละ ๖๐ ถึง ๗๐ ของต้นทุนการผลิตทั้งหมดของการผลิตสัตว์ปีก ดังนั้น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั่วโลกจึงต่างค้นหาวิถีทางใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหาร เพื่อให้เกิดความเหมาะสมระหว่างคุณภาพ และต้นทุนของอาหารสัตว์ ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งคือ การพยายามค้นหาการใช้ประโยชน์อาหารสัตว์ที่เหมาะสมเป็นการใช้ประโยชน์จากการดูดซึมอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ทราบดีว่า การทำหน้าที่ของลำไส้อย่างเหมาะสมช่วยให้การใช้ประโยชน์สารอาหาร และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์อาหารจากการย่อย และดูดซึมสารอาหารให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ดังนั้น องค์ประกอบของแบคทีเรียในลำไส้ โดยเฉพาะ เปปทิโดไกลแคน (peptidoglycan, PGN)” มีบทบาทสำคัญหนึ่ง โดยของเสียจาก PGN สามารถส่งผลต่อสุขภาพทางเดินอาหารได้ และการแลกเปลี่ยนอาหารอย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นสารอาหารสำหรับการดูดซึมสารอาหารอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผลผลิต และสวัสดิภาพสัตว์ดีขึ้น 



ผลของไมโครไบโอตาต่อสุขภาพทางเดินอาหาร

              การทำหน้าที่ของกระเพาะอาหาร และลำไส้มีบทบาทสำคัญจากปัจจัยหลายประกอบ ได้แก่ การปรุงแต่งสารอาหาร สวัสดิภาพสัตว์ และสถานภาพทางภูมิคุ้มกันของสัตว์ รวมถึง ความแข็งแรงของโครงสร้าง และการทำหน้าที่ของปราการป้องกันกระเพาะอาหาร และลำไส้ เมื่อเร็วๆนี้ นักวิจัยกำลังสนใจผลของไมโครไบโอตาในลำไส้ และปฏิกิริยากับโฮสต์ ที่ส่งผลต่อการทำหน้าที่ตามปรกติของลำไส้ และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร ไมโครไบโอตาในลำไส้มีความจำเป็นต่อการควบคุมสมดุลร่างกายตามปรกติ เนื่องจาก ส่งผลต่อการทำน้าที่ทางสรีรวิทยา รวมถึง การย่อย และการดูดซึมอาหาร เมตาโบลิซึมของพลังงาน การป้องกันการติดเชื้อที่ชั้นเยื่อเมือก และการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย ปฏิกิริยาดังกล่าวนี้ ได้เน้นย้ำให้ตระหนักถึงความสำคัญของไมโครไบโอตาในลำไส้ที่มีต่อการรักษาสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ปีกอีกด้วย

              อย่างไรตาม ขณะที่ผลของไมโครไบโอตาต่อการทำหน้าที่ของระบบทางเดินอาหารมีการวิจัย และศึกษาอย่างมาก ผลของมวลชีววัตถุของแบคทีเรียที่ตายแล้วต่อสุขภาพทางเดินอาหาร และการดูดซึมสารอาหารมักถูกมองข้ามไปในงานวิจัยจนถึงปัจจุบัน



ภาพที่ ๑ แบคทีเรียที่ตาย และส่วนของผนังเซลล์แบคทีเรียในลำไส้ มีอิทธิพลในทางลบต่อการดูดซึมสารอาหาร (แหล่งภาพ DSM)










มุ่งเป้าที่ PGN
              PGN คือสารมิวรีอินเป็นโพลีเมอร์ที่ประกอบด้วยโมโนเมอร์ต่างๆกัน ประกอบกันเป็นห่วงโซ่โพลีแซคคาไรด์ที่มีพันธะเชื่อมกันกลายเป็นสายเปปไทด์ขนาดสั้น สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งผนังเซลล์แบคทีเรียชนิดแกรมบวก และแกรมลบ PGN เป็นโครงสร้างที่ช่วยค้ำจุนรูปร่างของแบคทีเรียผ่านความดันออสโมซิส   แบคทีเรียในลำไส้ชนิดแกรมบวก และแกรมลบ ตามปรกติจะไม่ก่อให้เกิดโรค อย่างไรก็ตาม เศษส่วนของผนังเซลล์ที่ประกอบขึ้นเป็น PGN มักเป็นสารที่ขัดขวางการแลกเปลี่ยนอาหาร และผลผลิตสัตว์ปีก โดยเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของระบบทางเดินอาหาร และประสิทธิภาพของลำไส้ส่วนท้าย
              นอกเหนือจากนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าการแบ่งเซลล์ตามปรกติ และการตายของเซลล์ตามธรรมชาติจะปลดปล่อยเศษส่วนของผนังเซลล์ จึงเป็นแหล่งของ PGN ปริมาณมากมายเข้าสู่ทางเดินอาหาร ซึ่งจะเกิดปฏิสัมพันธ์กับผนังของลำไส้ เป็นสาเหตุให้ PGN สะสมอยู่ในลำไส้ แล้วกลายเป็นของเสียในลำไส้ เรียกว่า เศษอาหาร (debris)” แล้วขัดขวางประสิทธิภาพของทางเดินอาหารในการย่อยสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ลดประสิทธิภาพการย่อยได้ และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารแย่ลง แสดงให้เห็นว่า PGN อาจเพิ่มความสามารถในการผ่านเข้าออกได้ของลำไส้ และลดการบีบตัวของทางเดินอาหารจนทำให้การย่อยอาหาร และการดูดซึมอาหารได้ลดลง ส่งผลต่อผลผลิตสัตว์ต่อไปได้

กลยุทธใหม่ด้านอาหารสัตว์ 
              การใช้เวลาของปฏิกิริยาการเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของ PGN สามารถช่วยลดการเกิดเศษเซลล์แบคทีเรียในลำไส้ของสัตว์ปีก เป็นช่วยรักษาการทำหน้าที่ตามปรกติของกระเพาะอาหาร และลำไส้ ช่วยให้ประสิทธิภาพ กลยุทธการเสริมสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมไมโครไบโอตาในลำไส้ปรกติ ยกตัวอย่างเช่นการเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจที่อาจช่วยป้องกันระบบทางเดินอาหาร และส่งเสริมประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร และผลิตสัตว์ อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมด้านโภชนาการอาหารสัตว์จะประสบความสำเร็จได้ จำเป็นต้องช่วยรักษาสมดุลระหว่างไมโครไบโอตาของทางเดินอาหาร และตัวสัตว์ และป้องกันสิ่งที่ทำลายโครงสร้างของระบบทางเดินอาหาร
             
บทสรุป
              การส่งเสริมการย่อย PGN จากแบคทีเรียตายในทางเดินอาหารของไก่เนื้อเป็นกุญแจสำคัญต่อการรักษาสมดุลของการทำหน้าที่ทางเดินอาหารที่ดี และสร้างความมั่นใจต่อประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร ผลการเลี้ยงสัตว์ และสุขภาพที่ดี ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นชนิดแรก และเป็นเอนไซม์มิวรามิเดสจากเชื้อจุลชีพเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานได้ดีในทางเดินอาหาร นับเป็นทางเลือกทางโภชนาการที่น่าตื่นตาตื่นใจที่จะช่วยให้ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกสามารถปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในการทำหน้าที่ของทางเดินอาหาร และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร ให้แปลไปเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ผู้เลี้ยงสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน

 
เอกสารอ้างอิง
Ulibarri RL. 2019. Targeting peptidoglycans for improved feed efficiency. [Internet]. [Cited 2019 Feb 1]. Available from: https://www.poultryworld.net/Nutrition/Articles/2019/4/Targeting-peptidoglycans-for-improved-feed-efficiency-417399E/






วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ยุคสมัยของฝาจแทนการล่มสลายของยุคหลังยาปฏิชีวนะ


โลกของสุขภาพ และโภชนาการกำลังเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการสู้กับปัญหาเชื้อดื้อยา การใช้แบคเทอริโอฝาจ หรือเอนไซไบโอติก อาจเป็นทางเลือกที่ดี ข้อดี และข้อเสีย และวิธีการใช้ที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร
               ถึงเวลานี้ต้องเตือนภัยกันแล้วอย่างจริงจังหลังจากข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรียก่อโรค สถานการณ์ปัจจุบัน เชื้อดื้อยาส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์แล้ว ในแต่ละปี สหภาพยุโรปมีผู้ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ๒๕,๐๐๐ รายต่อปี ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยามากกว่า ๗๐๐,๐๐๐ รายต่อปี ในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ แนวโน้มของสถานการณ์จะทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยามากกว่าโรคมะเร็ง
               นอกเหนือจากการสูญเสียชีวิตมนุษย์แล้ว เชื้อดื้อยายังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอีกด้วย ภาคสาธารณสุขต้องจ่ายให้กับปัญหาเชื้อดื้อยาในแต่ละปีกว่า ๑.๕ พันล้านยูโรในสหภาพยุโรป ด้วยเหตุนี้ สหภาพยุโรปจึงตื่นตัว และกระตุ้นให้กำหนดแผนชลอการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียอันตรายเหล่านี้
ภาพที่ ๑ ภาพวาดของฝาจทำลายเชื้อแบคทีเรีย (แหล่งภาพ Monika Wisniewska)











แผนสุขภาพหนึ่งเดียว
               สหภาพยุโรปเองก็มีแผนการทำงานสุขภาพหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้กับเชื้อดื้อยา เพื่อสร้างความร่วมมือ และส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อป้องกัน และควบคุมปัญหาเชื้อดื้อยาทั่วทุกประเทศ นอกจากนั้น แผนนี้ยังออกแบบเพื่อกระตุ้นให้มีการวิจัย และพัฒนาหาหนทางเลือกสำหรับการรักษาวิธีใหม่
               นอกเหนือจากสุขภาพสัตว์แล้ว ปัญหาของเชื้อแบคทีเรียติดต่อสู่มนุษย์นี้ยังเป็นปัญหาร้ายแรง สาเหตุสำคัญเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องในบางส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์จนทำให้เกิดการพัฒนาของเชื้อดื้อยาที่สามารถถ่ายทอดต่อไปสู่โรงพยาบาลได้
               หนทางใดที่เป็นทางออกสำหรับปัญหาโลกแตกนี้ ล้วนส่งผลต่อการตลาดทั้งภาคการเกษตรกรรม การแพทย์ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นควรพิจารณาจากมุมมองต่างๆ จึงมีข้ออ้างสำหรับการลดการใช้ยาปฏิชีวนะ และยาฆ่าเชื้อ ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยยาต้านจุลชีพชนิดต่างๆ ที่เชื่อได้ว่าจะช่วยลดความถี่ของเชื้อแบคทีเรียดื้อยา และอาจเป็นกุญแจสำหรับหาทางออกใหม่เพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียดื้อยาหลายชนิด 

ภาพที่ ๒ แผนภาพการทำงานต้านเชื้อจุลชีพของแบคเทอริโอฝาจ

















แบคเทอริโอฝาจ และเอนไซไบโอติก
               แบคเทอริโอฝาจ หรือเรียกง่ายๆว่า ฝาจ (ภาพที่ ๒) เป็นเชื้อไวรัสที่เลือกที่จะติดเชื้อสู่แบคทีเรีย ภายในเซลล์แบคทีเรีย ฝาจจะเพิ่มจำนวน และสร้างอนุภาคของเชื้อไวรัสใหม่ปล่อยเป็นอิสระภายในเวลาไม่นานหลังจากเชื้อแบคทีเรียตาย หรือเซลล์แบคทีเรียแตกตัวลง คุณสมบัตินี้ช่วยให้ฝาจสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้อย่างทรงพลัง และมีความหวังไว้ว่าจะนำไปใช้สำหรับโรคติดเชื้ออีกหลายชนิด เรียกว่า การบำบัดด้วยฝาจ (phage therapy)
                 วิธีการบำบัดนี้ถูกค้นพบโดย เฟลิกซ์  เดเรลล์ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ถูกนำมาใช้ในยุโรปตะวันออกเป็นเวลานาน จนกระทั่ง ยาปฏิชีวนะถูกนำมาใช้แทนที่ ถึงกระนั้น ในโปแลนด์ และสหภาพโซเวียตก็ยังคงนิยมใช้เป็นยาต้านจุลชีพต่อไป ในวันนี้หลายประเทศในตะวันตกกำลังหาวิธีการใช้ฝาจเพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้ออีกครั้ง

               เอนไซไบโอติกเป็นโปรตีนประเภทเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในการบำบัดด้วยฝาจ เอนไซไบโอติกเป็นโปรตีนที่ถูกสังเคราะห์โดยฝาจ จึงสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้อย่างจำเพาะเจาะจง เมื่อใช้เติมลงไปภายนอก ส่วนใหญ่ของเอนไซไบโอติกคือ เอนโดไลซิน (endolysins) ที่ผลิตขึ้นจากฝาจ หน้าที่จำเพาะของเอนโดไลซินเหล่านี้คือ การทำลายเชื้อแบคทีเรียที่เป็นโฮสต์ของฝาจ ดังนั้น อนุภาคของเชื้อไวรัสใหม่จึงสามารถถูกปล่อยเป็นอิสระ เมื่อวงจรการเพิ่มจำนวนสิ้นสุดลงดังภาพที่ ๓

ภาพที่ ๓ แสดงการทำหน้าที่ต่อต้านจุลชีพของเอนไซไบโอติก















สถานการณ์ปัจจุบันของการบำบัดด้วยฝาจ
               รายงานการวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับการบำบัดด้วยฝาจกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่า นักวิจัยจะเริ่มมีข้อมูลถั่งโถมเข้ามาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของฝาจ และเอนไซไบโอติก ตลอดจนความปลอดภัย โดยเฉพาะ การกำจัดเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อม
               เป็นที่น่าสังเกตว่า นักวิจัยบางกลุ่มเท่านั้นที่สนใจ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ตั้งในสหรัฐฯ เนื่องจาก นักวิจัยเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้พัฒนาผลิตภัณฑ์หลายชนิด ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถใช้ในภาคส่วนต่างๆของห่วงโซ่การผลิตของธุรกิจการเกษตร นับตั้งแต่การรักษา หรือป้องกันโรคในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงการฆ่าเชื้อโรงเรือน การประยุกต์ใช้ด้านการเกษตรกรรม ได้แก่
๑.     ผลิตภัณฑ์ อะกริฝาจ โดยบริษัท อินทราไลติกซ์ สหรัฐฯ (AgriPhage, Intralytix) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยฝาจหลายชนิดผสมกันออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในพืช เป้าหมายเป็นการต่อสู้กับโรคในพืชไร่ เช่น มะเขือเทศ และพริกไทย
๒.    ภาคการผลิตอาหาร ลิสเท็กซ์ พี ๑๐๐ โดยบริษัทไมครีออส เนเธอร์แลนด์ (Listex P100, Micreos) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยฝาจ ๖ ชนิด เพื่อทำลายเชื้อ ลิสทีเรีย โมโนไซโตจีเนส ในสินค้าอาหารบางชนิด และในกระบวนการผลิตอาหาร
๓.    ภาคสุขภาพสัตว์ อินทราไลติกซ์ (Intralytix) พัฒนาฝาจสำหรับการป้องกัน และรักษาโรคสัตว์ ทั้งสัตว์เลี้ยง และฟาร์มปศุสัตว์ โดยมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายต่อต้านเชื้อ ซัลโมเนลลา ได้แก่ พีแอลเอสวี ๑ (PLSV-1) และ คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ ได้แก่ ไอเอ็นที ๔๐๑ (INT-401) ใช้สำหรับรักษาไก่
๔.    ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ลิสต์ชิลด์ (ListShield) อีโคชิลด์ (EcoShield) ซัลโมเฟรช (SalmoFresh) และชิกาชิลด์ (ShigaShield) ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ ลิสทีเรีย โมโนไซโตจีเนส และ อี. โคไล โอ๑๕๗: เอช ๗ ซัลโมเนลลา และชิเจลลา ตามลำดับ กำลังถูกใช้ในการป้องกันสัตว์ เพื่อหยุดเชื้อแบคทีเรียมิให้เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตอาหาร     
๕.    ผลิตภัณฑ์ที่สามารถฆ่าเชื้อผิวหนังของสัตว์มีชีวิตก่อนเข้าโรงฆ่า ได้แก่ อีโคลิไซด์ พีเอ็กซ์ ของบริษัท อินทราไลติกซ์ (Ecolicide PX, Intralytix) และ แบควอช ของบริษัท โอมนิไลติกซ์ (BacWash, OmniLytics) สหรัฐฯ
๖.     นอกจากนั้น ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น อีโคลิไซด์ (Ecolicide) ซัลโมไลซ์ (SalmoLyse) และลิสฝาจ (LystPhage) ของบริษัทอินทราไลติกซ์ (Intralytix)

โอกาส และความท้าทาย
               เมื่อนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้เป็นสารต่อต้านเชื้อจุลชีพ การประเมินผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับวิธีการที่มีอยู่แล้วเพื่อหาโอกาส และความท้าทายของผลิตภัณฑ์ใหม่
               ๑. แบคเทอริโอฝาจเป็นเชื้อจุลชีพที่มีอยู่มากมาย สามารถหาได้ง่ายในสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่าง แยกเชื้อได้ในตัวอย่างดินที่ความหนาแน่น ๑๐๘ อนุภาคต่อกรัม หมายความว่า มนุษย์ สัตว์ และพืช มีโอกาสสัมผัสเชื้ออยู่แล้วเกือบตลอดชีวิต โดยไม่มีอาการปรากฏให้เห็นได้
               ๒. การออกฤทธิ์ของแบคเทอริโอฝาจ และเอนไซไบโอติกมีความจำเพาะสูง เมื่อใช้ในการรักษามุ่งเป้าต่อเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอย่างเจาะจง โดยไม่มีผลต่อเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ
               ๓. ไม่ว่าจะใช้กับแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะ หรือไวรับต่อยาปฏิชีวนะ ประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อของแบคเทอริโอฝาจ และเอนไซไบโอติกก็เหมือนกัน
               ๔. แบคเทอริโอฝาจเพิ่มจำนวนต่อเมื่อติดเชื้อในแบคทีเรียก่อโรค ยิ่งทำให้เพิ่มคุณสมบัติการต่อต้านเชื้อจุลชีพ
               ๕. เอนไซไบโอติกออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตของแบคทีเรีย ดังนั้น จึงยากสำหรับเชื้อแบคทีเรียจะพัฒนาภาวะดื้อยา ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจนถึงปัจจุบันจึงยังไม่พบเชื้อแบคทีเรียดื้อต่อเอนไซไบโอติก
               การต่อต้านเชื้อจุลชีพโดยแบคเทอริโอฝาจ ยังมีข้อเสียบางประการ
               ๑. การยอมรับโดยบางส่วนของสังคม เนื่องจาก แบคเทอริโอฝาจอาจเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสที่มีโอกาสเป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสเหล่านี้มีความจำเพาะต่อเชื้อแบคทีเรีย จึงไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ พืช หรือสิ่งแวดล้อม
               ๒. การใช้แบคเทอริโอฝาจยังต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับชีววิทยาของเชื้อ และคุณลักษณะทางพันธุกรรม เป้าหมายของงานวิจัยควรต้องสร้างความมั่นใจว่า จะไม่มีโอกาสที่ฝาจเป็นพาหะ หรือสามารถถ่ายทอดแฟคเตอร์ด้านความรุนแรงไปยังเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ
               ๓. ความจำเพาะของแบคเทอริโอฝาจสำหรับเป้าหมายต่อเชื้อแบคทีเรียมีสูงอย่างมาก หมายความว่า จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า ทุกสายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรียจะถูกทำลายลงได้ จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมของฝาจหลากหลายชนิดจากโฮสต์หลายๆแหล่งที่มา
               การปรากฏภาวะดื้อต่อฤทธิ์ของฝาจต่อการต้านเชื้อจุลชีพอาจเป็นสิ่งที่วิตกกัน ในกรณีของแบคเทอริโอฝาจ แบคทีเรียสามารถพัฒนาภาวะดื้อต่อฤทธิ์ของฝาจได้ แต่การใช้ฝาจหลายชนิดผสมกันจะช่วยลดโอกาสของการดื้อต่อฤทธิ์ของฝาจ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ยังไม่มีรายงานว่า เชื้อแบคทีเรียดื้อต่อเอนไซไบโอติก แม้ว่าจะมีรายงานหลายฉบับพยายามทดลองให้ปริมาณต่ำกว่าระดับการยับยั้งเชื้อได้ซ้ำๆแล้วก็ตาม

มุมมองสำหรับอนาคต
                  รายชื่อผลิตภัณฑ์จะขยายไปสู่การประยุกต์ใช้สำหรับมนุษย์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ประกอบด้วยแบบอย่างสำหรับการใช้สารประกอบที่มีฝาจเป็นสารต่อต้านเชื้อจุลชีพ เพื่อประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆกัน
               ความจริงแล้ว หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดก่อนที่จะนำไปสู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้คือ ไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับทุกประเทศ เช่น กระทรวงเกษตรฯ และองค์การอาหาร และยา ของสหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดสำหรับภาคการเกษตรกรรม ถึงกระนั้น หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป ประเมินฝาจสำหรับใช้ถนอมอาหารสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่มีการสรุปข้อมูลสำหรับให้ใช้ในสหภาพยุโรปได้
               ในสหภาพยุโรป จึงยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ในปัจจุบัน ยังมีงานวิจัยปล่อยออกมาเรื่อยๆถึงโอกาสทองที่อาจเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลที่จำเป็นต่อไป เพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้ได้เตรียมพร้อมทำความเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของฝาจต่อไป

เอกสารอ้างอิง
Suárez PG and González AR. 2019. Pros and cons of using phages. [Internet]. [Cited 2019 Feb 1]. Available from: https://www.poultryworld.net/Health/Articles/2019/2/Pros-and-cons-of-using-phages-388607E/

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562

โฟกัสสวัสดิภาพสัตว์โดยการคัดเลือกพันธุ์ไก่ที่ขนปกคลุมได้ดี


ผู้ผลิตสัตว์ปีกสามารถโฟกัสให้ไก่มีสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีได้โดยการคัดเลือกพันธุ์ไก่ที่มีการปกคลุมขนที่ดี การปกคลุมขนที่ดีมีความสำคัญสำหรับสุขภาพ และสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี ผลผลิต และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร ไก่ที่มีขนปกคลุมได้ดีจะช่วยให้การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย และขนยังช่วยปกป้องผิวหนังได้โดยตรง
               การสูญเสียขนมีสาเหตุจากหลายปัจจัย สังเกตได้จากตำแหน่งที่มีการร่วงหายไปช่วยบ่งชี้สาเหตุของปัญหาได้ การปกคลุมของขนเป็นคุณลักษณะทางสังคมของสัตว์ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างการสูญเสียขน และพฤติกรรมทางสังคม ไม่เพียงแต่ความสัมพันธ์กับการจิกกันเอง แต่อาจมีความสัมพันธ์กับความเครียดได้ ไก่เป็นสัตว์ปีกจึงชอบที่จะกระโดดเหยียบตัวอื่นๆ ทำให้เกิดความเสียหายของขนได้เช่นกัน
               แรงจูงใจ และเหตุผลที่ไก่สักตัวแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อตัวอื่นๆ ไม่เหมือนกับการจิกกันเอง การทดลองให้คะแนนความเสียหายของขนไก่บริเวณหัว คอ และหลัง พบว่า ความเสียหายของขนไก่บริเวณหลัง เป็นตัวบ่งชี้ถึง ปัญหาการจิกขนกันเอง ขณะที่ การจิกกันเนื่องจากพฤกติกรรมก้าวร้าวต่อกันมักเกิดขึ้นที่หัว และคอมากกว่า สาเหตุของการจิกขนเกิดได้จากหลายปัจจัย รวมถึง พันธุ์ ความไม่สมดุลทางโภชนาการ สภาพโรงเรือน และการจัดการ เป็นต้น  
               ในการทดลองภาคสนาม กำหนดคะแนนสภาพการปกคลุมของขนไก่ไว้ที่เวลาต่างๆกัน ๒ ช่วง ได้แก่ หลังการให้ผลผลิตพีคที่อายุ ๔๐ สัปดาห์ และที่ ๗๐ สัปดาห์ เป้าหมายของการให้คะแนนสภาพการปกคลุมของขนก็เพื่อสังเกตความแตกต่างระหว่างพันธุ์จะแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ หรือห้องทดลอง เก็บข้อมูลจากไก่ ๓๕๐,๐๐๐ ตัวต่อปีโดยใช้วิธีการของแอสชัวร์เวล ที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก โดยกำหนดคะแนนเป็น
               ๐ ไม่มี หรือมีความเสียหายของขนน้อย ไม่พบบริเวณผิวหนังที่เปลือย หรือมีขนขึ้นน้อย มีขนหายไปไม่มากนัก
               ๑ มีความเสียหายของขนน้อย ขนขึ้นปกคลุมปานหลาง มีบริเวณที่เกิดความเสียหายน้อยกว่า ๒ ตำแหน่งจนเห็นผิวหนังที่เปลือย เส้นผ่านศูนย์กลางสูงที่สุด ๕ เซนติเมตร
                 มีความเสียหายของขนปานหลางถึงรุนแรง สังเกตเห็นบริเวณผิวหนังเปลือยชัดเจน เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า ๕ เซนติเมตร
                  โดยอาศัยพื้นฐานของการให้คะแนนนี้ สามารถคำนวณความสามารถในการถ่ายทอดคุณลักษณะทางพันธุกรรมสำหรับบริเวณคอ และหลังได้ ความสามารถในการถ่ายทอดคุณลักษณะทางพันธุกรรมดังกล่าวแตกต่างกันไประหว่างสายพันธุ์ และต่อพื้นที่ อยู่ในช่วงระหว่าง ๐.๐๘ ถึง ๐.๒
               ความสามารถในการถ่ายทอดคุณลักษณะทางพันธุกรรมดังกล่าวจะต่ำลง เมื่อเปรียบเทียบกับคุณลักษณะการให้ไข่ และคุณภาพไข่ แต่สอดคล้องไปกับคุณลักษณะทางด้านสังคม ดังนั้น การปรับปรุงพันธุ์จึงมีโอกาสสำเร็จได้ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยๆป

ค้นหายีนที่เกี่ยวข้อง
               ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน และมหาวิทยาลัยวาเกนนิงเก้น เพื่อค้นหายีนที่เกี่ยวข้องโดยตรงทางพันธุกรรม และทางอ้อมกับพฤติกรรมทางสังคมที่มีความสัมพันธ์กับการจิกขน การใช้สายพันธุ์เฮนดริกซ์ แล้วศึกษาผลต่อสนิปถูกประเมินทีละลักษณะทั้งทางตรงและทางอ้อม พบว่า สนิปที่อยู่ใกล้กับตัวรับของเซลล์ชนิดกาบามีความสัมพันธ์ทั้งทางตรง และทางอ้อมกับเวลาการรอดชีวิต
               การวิจัยครั้งนี้เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ที่ศึกษาบทบาทของจีโนมิกต่อการแก้ไขปัญหาสวัสดิภาพสัตว์ การวิจัยยังคงดำเนินต่อไปโดยการเพิ่มเติมคุณลักษณะของขนที่แตกต่างกันเป็นปัจจัยเพิ่มเติมสำหรับแผนการปรับปรุงพันธุ์ เวลานี้สามารถเลือกไก่ที่เชื่อง ไม่ก้าวร้าว โดยมีขนปกคลุมเป็นเวลานาน

เอกสารอ้างอิง
McDougal T. 2019. Focusing on welfare by selecting for good feather cover. [Internet]. [Cited 2019 Apr 5]. Available from: https://www.poultryworld.net/Health/Articles/2019/4/Focusing-on-welfare-by-selecting-for-good-feather-cover-412962E/

ภาพที่ ๑ การงอกของขนที่ดีมีความสำคัญต่อสุขภาพ และสวัสดิภาพสัตว์ ผลผลิต ประสิทธิภาพการแลกเนื้อ (แหล่งภาพ Shutterstock)


วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562

ห้าวิถีหยุดซัลโมเนลลาที่โรงฟัก


หากไม่มีมาตรการที่ดี ซัลโมเนลลาสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในโรงฟัก  โรงฟักจะเป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มจำนวนของเชื้อซัลโมเนลลา
               การป้องกัน และลดการปนเปื้อนเชื้อซัลโมเนลลาจำเป็นต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรในทุกกระบวนการของการผลิตไก่เนื้อไปจนถึงโรงงานแปรรูปการผลิต ปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิที่อบอุ่น อาหารสัตว์มากมาย และความชื้นสูง ช่วยให้เชื้อซัลโมเนลลาแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในโรงฟัก ข้อแนะนำ ๕ ข้อสำหรับการป้องกันซัลโมเนลลาที่โรงฟัก ได้แก่
๑.     ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการฆ่าเชื้อ และการทำความสะอาดในทุกขั้นตอนในการจัดการภายในโรงฟัก
๒.     ไข่ฟักจากฟาร์มไก่พันธุ์ต้องสะอาด และควบคุมไม่ให้มีไข่พื้น ในกรณีที่ไข่ตกลงพื้น หรือสกปรก สิ่งที่ดีที่สุดคือ ทิ้งไข่เหล่านั้นเสีย
๓.    อย่ามองข้ามการระบายอากาศ และอุปกรณ์ควบคุมอากาศ เนื่องจาก อุปกรณ์เหล่านี้สามารถดึงอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อซัลโมเนลลา ดังนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะต้องมั่นใจว่า อากาศที่เข้ามาในโรงฟักสะอาด และควบคุมให้ฝุ่นน้อยที่สุด
๔.    เพิ่มมาตรการอื่นๆเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย หากไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะระหว่างการให้วัคซีนทางไข่ฟัก
๕.    ใช้หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติมากขึ้น เนื่องจาก คนงานเป็นพาหะสำคัญของเชื้อโรค เช่น ซัลโมเนลลา และการใช้ระบบอัตโนมัติยังช่วยยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพ หุ่นยนต์เป็นการปฏิบัติงานที่สะอาด ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกในสหรัฐฯเองก็กำลังเพิ่มการใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น    
เอกสารอ้างอิง
Waldrip D. 2019. 5 ways to guard against Salmonella in the hatchery. [Internet]. [Cited 2019 Apr 1]. Available from: https://www.wattagnet.com/articles/37316-ways-to-guard-against-salmonella-in-the-hatchery



วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

ไทสันฟู้ดเรียกคืนสินค้า Chicken strips


สินค้า Chicken strips ปนเปื้อนเศษโลหะ กระทรวงเกษตรฯสหรัฐ ประกาศเตือนภัยด้านความปลอดภัยอาหารจากเอฟซิส ไทสันฟู้ดเรียกคืนสินค้าพร้อมรับประทานแช่แข็งกว่า ๓๑,๓๔๐ กิโลกรัม เนื่องจากพบเศษโลหะขนาดเล็ก รายการอาหาร Chicken strip ผลิตโดยโรงงานของไทสันในรัฐอาร์คันซอ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา
รายการสินค้าที่ถูกเรียกคืน ได้แก่ สินค้าขนาด ๒๕ ออนซ์ ประกอบด้วยสินค้าของไทสัน Fully cooked buffalo style chicken strips เป็นชิ้นส่วนสันในจากเนื้ออกไก่นำมาทอดแบบเมืองบัฟฟาโลให้ปรุงสุกจนเต็มที่ Chicken breast strip fritters with rib meat เป็นชิ้นส่วนสันในจากเนื้ออกไก่ผสมกับเนื้อซี่โครง ซ้อสปรุงแบบเมืองบัฟฟาโล ทั้งหมดบริโภคได้ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีรหัสสินค้า ๓๓๔๘ ซีเอ็นคิว ๐๓๑๗ และ ๓๓๔๘ ซีเอ็นคิว ๐๓๑๘ บรรจุภัณฑ์ตีตราเวลาการผลิตตั้งแต่ ๑๗.๐๐ ถึง ๑๘.๕๙ น.    
               สินค้าขนาด ๒๕ ออนซ์ ประกอบด้วยสินค้าของไทสัน Fully cooked crispy chicken strips เป็นชิ้นส่วนสันในจากเนื้ออกไก่ทอดกรอบปรุงสุกจนเต็มที่ ชิ้นส่วนสันในจากเนื้ออกไก่ผสมกับเนื้อซี่โครง บริโภคได้ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีรหัสสินค้า ๓๓๔๘ ซีเอ็นคิว ๐๔๑๙  ๓๓๔๘ ซีเอ็นคิว ๐๔๒๐ ๓๓๔๘ ซีเอ็นคิว ๐๔๒๑  และ ๓๓๔๘ ซีเอ็นคิว ๐๔๒๒ บรรจุภัณฑ์ตีตราเวลาการผลิตตั้งแต่ ๑๙.๐๐ ถึง ๒๒.๕๙ น.
                  สินค้าขนาด ๒๐ ออนซ์ ประกอบด้วยสินค้าของไทสัน Spare time fully cooked buffalo style strips เป็นชิ้นส่วนสันในจากเนื้ออกไก่ปรุงสุกจนเต็มที่บางส่วนแบบเมืองบัฟฟาโล บริโภคได้ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีรหัสสินค้า ๓๓๔๘ ซีเอ็นคิว ๐๓
               สินค้าที่ถูกเรียกคืนมาจากหมายเลขโรงงาน พี ๗๒๒๑ ที่ด้านหลังของบรรจุภัณฑ์ ตามหมายเลขดังกล่าว รหัสสองตัวสุดท้ายคือ ชั่วโมงที่มีการผลิต รายการสินค้าเหล่านี้ถูกส่งให้กับร้านค้าปลีกภายในประเทศ และสถาบันที่ตั้งในมิชิแกน และวอชิงตัน ปัญหาถูกพบเมื่อเอฟซิสได้รับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภค ๒ รายเกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมในสินค้า Chicken strip ยังไม่มีรายงานยืนยันถึงอาการข้างเคียงจากการบริโภคสินค้าเหล่านี้ เอฟซิสกังวลว่า สินค้าบางส่วนอาจยังค้างอยู่ในตู้เย็นของผู้บริโภค ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ ไม่ควรบริโภคเป็นอาหาร แต่ควรนำไปทิ้ง หรือส่งคืนร้านค้าที่ซื้อมา โดยเอฟซิสพยายามตรวจสอบการเรียกคืนสินค้าจากผู้ผลิตที่ได้รับการแจ้งเตือน เพื่อให้มั่นใจว่า สินค้าเหล่านี้จะถูกส่งคืนกลับมาได้ทั้งหมด รายชื่อร้านค้าจะถูกประกาศไว้ในเวบไซต์ของเอฟซิส         
เอกสารอ้างอิง
WATTAgNet. 2019. Tyson Foods recalls 69,093 pounds of chicken strips. [Internet]. [Cited 2019 Mar 21]. Available from: https://www.wattagnet.com/articles/37223-tyson-foods-recalls-69093-pounds-of-chicken-strips 
ภาพที่ ๑ ไทสันเรียกคืนสินค้า (แหล่งภาพ  FSIS)




วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...