วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ภูมิอากาศโลกมีอิทธิพลต่อการระบาดของโรคไข้หวัดนก


รายงานใหม่ โรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง ในฟาร์มสัตว์ปีก ประเทศไนจีเรีย และไต้หวัน ขณะที่ เชื้อไวรัสใหม่ยังตรวจพบได้ที่ตลาดค้าสัตว์ปีกเป็นครั้งแรกในประเทศบังคลาเทศ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกเพิ่มขึ้นในเนปาล และตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกดูเหมือนจะมีอิทธิพลต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดนก

              การต่อสู้เพื่อควบคุมโรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๒ ในไต้หวัน ยังยืดเยื้อต่อไป ขณะนี้ยืนยันการระบาดไปแล้ว ๕ ครั้ง สูญเสียสัตว์ปีกไปเกือบ ๔๓,๐๐๐ ตัวจากการตาย หรือคัดทิ้ง ระหว่างวันที่ ๑๔ ถึง ๒๑ พฤษภาคม ที่ผ่านมา รายงานอย่างเป็นทางการจากสภาเกษตรกรรมต่อองค์การสุขภาพสัตว์โลก หรือโอไออี ยืนยันการตรวจพบเชื้อไวรัสในไก่พื้นเมือง ๓ ฝูง และฟาร์มเป็ดเนื้อ และเป็ดไข่ อย่างละ ๑ ฝูง ฟาร์มสามแห่งอยู่ในตำบล Yunlin และที่เหลืออยู่ในตำบล Pingtung และ Changhua



ระบาดใหม่ที่ไนจีเรีย

                 โรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๘ แบบเวเรียนต์ ตรวจพบในไก่ เป็ด และไก่งวง ที่ตลาดปศุสัตว์ในรัฐ Edo เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตามรายงานอย่างเป็นทางการจากกระทรวงเกษตรฯต่อโอไออี การสำรวจทางระบาดวิทยาที่ตลาดปศุสัตว์แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงไปยังการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูงที่ฟาร์มในรัฐเดียวกันก่อนหน้านี้



 เอช ๖ เอ็น ๖ ในบังคลาเทศ

              โรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๖ ถูกตรวจพบในนกน้ำในประเทศบังคลาเทศในปี ค.ศ. ๒๐๑๖ และ ๒๐๑๗ ตามรายงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Virology แล้วยังมีการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูงอีกหลายระลอกทั้งในสัตว์ปีก และมนุษย์จากโรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๑ แบบแวเรียนต์ในเอเชียใต้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๗ เป็นต้นมา แต่ผลการวิจัยล่าสุด เป็นหลักฐานครั้งแรกของการปรากฏสับไทป์เอช ๕ เอ็น ๖ 

              การสำรวจทางระบาดวิทยาในตลาดค้าสัตว์ปีกมีชีวิต เพื่อเฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่ที่มีความเสี่ยงต่อทั้งมนุษย์ และสัตว์ปีก แต่ยังไม่ยืนยันการตรวจพบการติดเชื้อไวรัสแบบแวเรียนต์ในบังคลาเทศ



 การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกส่งผลต่อโรคไข้หวัดนก

              นักวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า ปัจจัยบางประการสามารถเชื่อมโยงได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกสามารถส่งผลต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้ กุญแจสำคัญสำหรับการขนส่งเชื้อไวรัสข้ามระหว่างทวีปเป็นที่ทราบกันดีว่า จุดนัดพบคือ นกอพยพ อ้างอิงจากการศึกษาของ Matthew Scotch มหาวิทยาลัยอริโซนา การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศปรากฏขึ้นในเอเชียตะวันออก และเบอริงเจีย เป็นพื้นที่แถบไซบีเรีย และอะลาสก้าฝั่งตะวันตกที่นกอพยพชอบไปพักอาศัย การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นมีอิทธิพลต่อรูปแบบการอพยพของนกน้ำ ชนิดของนก การขับเชื้อไวรัส และการรีแอสซอร์ตเมนต์ ปัจจัยเดียวกันนี้ยังสามารถร่วมกันส่งผลกระทบต่อการขนส่งเชื้อไวรัสข้ามทวีปที่แตกต่างกันได้ รวมถึง การแพร่กระจายเชื้อในเฉพาะถิ่นจากนกป่าไปสู่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีก รายงานการวิจัยครั้งนี้ยังตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Environment International ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๘ อีกด้วย



พบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกเพิ่มขึ้นอีกในเนปาล

              ได้มีการยืนยันแล้วเมื่อต้นเดือนว่า พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนก สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๑ รายแรกในเดือนมีนาคมนี้ ผู้ป่วยเป็นชายหนุ่มจากกาฏมัณฑุ เสียชีวิตเมื่อปลายเดือนเดียวกัน อ้างตามรายงานของหัวหน้าโรงพยาบาลโรคติดเชื้อ และโรคประถิ่นในประเทศ เชื่อว่า น่าจะมีรายอื่นๆเพิ่มเติม แต่ขาดแคลนห้องปฏิบัติการสำหรับการตรวจสอบยืนยัน ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Himalayan Times แพทย์รายงานผู้ป่วย ๓ รายที่มีอาการสำคัญของโรคระบบทางเดินหายใจ และมีไข้ โดยมีประวัติการสัมผัสสัตว์ปีกป่วย หรือตายก่อนแสดงอาการป่วย

              เมื่อเร็วๆนี้มีการทำลายอีกาตายจำนวนมากในเมืองหลวง กาฏมัณฑุ เชื่อว่าเกิดจากเชื้อไวรัสสับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๑ และเรียกร้องให้มีการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสทั่วประเทศทั้งผู้เลี้ยงไก่ สัตวแพทย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสัตว์ปีกทั้งหมด รวมถึง บุคลากรทางการแพทย์



เอกสารอ้างอิง
Linden J. 2019. What the US poultry industry needs to know about ASF. [Internet]. [Cited 2019 May 31]. Available from: https://www.wattagnet.com/articles/37855-avian-flu-studies-reveal-climate-change-impacts-unknown-virus-presence 
ภาพที่ ๑ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกดูเหมือนจะมีอิทธิพลต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดนก (แหล่งภาพ Wol Wol | Freeimages.com) 

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ผู้ผลิตไก่สหรัฐฯ หวังโอกาสจากโรค ASF ในจีน


อุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกคอยรับประโยชน์จากเคราะห์ร้ายของจีนที่โรคระบาดได้กวาดล้างประชากรสุกรในประเทศอย่างหนัก ผู้ประกอบการผลิตสัตว์ปีกสหรัฐฯ ตั้งหน้าตั้งตาคอยความหวังส้มหล่นจากสถานการณ์นี้ว่า จีนจะกลับมาอนุญาตนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกสหรัฐฯอีกครั้ง

              ขณะนี้ โรคอหิวาต์สุกรแอฟริกันได้ทำลายประชากรสุกรในจีน และประเทศใกล้เคียงบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรปตะวันออก นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญครั้งหนึ่งของเศรษฐศาสตร์โปรตีนโลก ผู้ประกอบการผลิตสัตว์ปีกสหรัฐฯ กำลังจับตาคอยประโยชน์จากวิกฤติการณ์อันเลวร้ายของประเทศจีน แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่า โอกาสนี้จะเปิดกว้างไปได้อีกนานสักเท่าไร



สถานการณ์ปัจจุบันของโรคไข้หวัดแอฟริกา

              โรคอหิวาต์สุกรแอฟริกัน(African swine fever, ASF) เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่ทำให้สุกรตายเป็นจำนวนมาก โดยยังไม่มีวัคซีน หรือยารักษาได้ในปัจจุบัน ขณะนี้ได้แพร่ระบาดในประเทศจีน และทำลายสุกรไปแล้วหลายล้านตัว การระบาดเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ปีที่แล้วมานี้เอง แต่สถานการณ์ยังคงแย่เหมือนเดิม แม้ว่า รัฐบาลจีนจะอ้างว่า สถานการณ์ควบคุมไว้ได้แล้ว แต่รายงานที่เปิดเผยออกมาดูจะขัดแย้งกันมาก ยิ่งในเวลานี้ โรคได้แพร่ไปยังประเทศไต้หวัน เวียดนาม และกัมพูชา แล้ว

              จีนเป็นผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ของโลก นักวิเคราะห์สถานการณ์โปรตีนโลกจากโรโบแบงค์ อ้างว่า ยอดการผลิตสุกรในจีนสูงถึง ๗๐๐ ล้านตัวต่อปี จากสถานการณ์ของโรคระบาดครั้งนี้ คาดว่า ยอดการผลิตจะหายไปราวร้อยละ ๓๐ หรือสุกรหายไป ๑๕๐ ถึง ๒๐๐ ล้านตัวจนถึงสิ้นปีนี้

              สถานการณ์ของโรค ASF สามารถฟื้นฟูเป็นปรกติได้ บทเรียนในอดีตแสดงให้เห็นว่า หากประเทศผู้ผลิตสุกรตั้งใจทำลายสัตว์ป่วยทิ้งจริงๆ สามารถกำจัดโรคได้ แต่อาจใช้เวลาหลายปีสักหน่อย เนื่องจาก เชื้อไวรัสสามารถรอดชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานานมากในเนื้อสุกรที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ทนทานเป็นเวลาหลายสัปดาห์ในมูลสัตว์ และเป็นเวลานับเดือนในโรงเรือนเลี้ยงสุกร หรือรถขนส่ง ถึงเวลานี้ก็ยังไม่ทราบว่าโรคจะสงบลงเมื่อไรในจีน และคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่การเลี้ยงสุกรในประเทศจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้ เปรียบเทียบกับในสเปน และโปรตุเกสที่มีขนาดประเทศเล็กกว่า และมีการพัฒนาการเลี้ยงก้าวหน้ากว่ามากก็ยังต้องใช้เวลานานกว่า ๓๐ ปี โรโบแบงค์คาดว่า โรค ASF จะทำให้ปริมาณอาหารประเภทโปรตีนลดลงร้อยละ ๕ ถึง ๗ หรือราว ๑๐ ล้านตันในปีนี้ การขาดแคลนอาหารประเภทโปรตีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก



ผู้ผลิตสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างไร

              ความมืดมนของวิกฤตการณ์ในเมองจีนเป็นแสงตะวันฉายโอกาสให้ผู้ผลิคโปรตีนทั่วโลก ชาวจีนนิยมบริโภคเนื้อสุกร และเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาสู่ชนชั้นกลางผู้ชื่นชอบเนื้อมากที่สุดในโลก นักเศรษฐศาสตร์ด้านสัตว์ปีก กล่าวถึงราคาโปรตีนทั่วโลกกำลังแพงขึ้นหลังจากวิกฤติการณ์โรค ASF ในจีน นอกจากนั้น ความเสียหายของสุกรในจีนทำให้ความต้องการถั่วเหลืองโลกกำลังลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม ราคาวัตถุดิบที่ต่ำลง ร่วมกับราคาโปรตีนที่แพงขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตอาหารประเภทโปรตีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการผลิตเนื้อไก่ สถานการณ์นับว่าดีมาก หากสหรัฐฯจะไม่ถูกระงับการส่งออกไปยังจีน ผู้ประกอบการสหรัฐฯมีจังหวะที่ดีที่กำลังเปิดโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ปีกใหม่ และกำลังปรับปรุงโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่โรค ASF กำลังทำลายแหล่งอาหารประเภทโปรตีน แทนที่จะเกรงกลัวกันว่าจะเกิดการผลิตเกินความต้องการ โรงงานผลิตเนื้อสัตว์ปีกกำลังเปิดในช่วงเวลาที่เป็นโอกาสดีสอดคล้องกับความต้องการที่กำลังทวีเพิ่มมากขึ้น และจะได้ราคาจำหน่ายที่ดีมากด้วย  

              มุมมองด้านผู้ประกอบการอาหาร และธุรกิจการเกษตร เชื่อว่า ผลกระทบระยะสั้นจะเกิดขึ้นชั่วขณะ ราคาเนื้อไก่ และโปรตีนประเภทอื่นๆจะขยับขั้นอย่างช้าๆเทียบกับราคาเนื้อสุกร มุมมองจากตลาดหลักทรัพย์ โรค ASF เพิ่งเปิดฉากไม่กี่เดือนมานี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อไก่ อย่างไทสัน พิลกริมส์ ไพรด์ และแซนเดอร์สัน ฟาร์ม ราคาขยับขึ้นแล้วตามข่าวความรุนแรงของการระบาดโรค ASF และความต้องการตามฤดูกาลสำหรับเนื้อไก่ก็เริ่มสูงขึ้นแล้วในเวลาเดียวกัน



ผลกระทบระยะยาว

              เมื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยากที่จะคาดการณ์ได้ว่า อุตสาหกรรมการผลิตไก่ และไก่งวงในสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค ASF ในปัจจุบันอย่างไร โดยทั่วไป เมื่อเกิดการขาดแคลนโปรตีนในจีน หมายความว่า โอกาสน่าจะเปิดกว้างขึ้นสำหรับประเทศต่างๆที่จะผลิตอาหารประเภทโปรตีนนี้เพื่อขายให้กับจีนแทน เชื่อได้ว่า โรค ASF จะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการฟื้นฟู แม้ว่า โรคจะถูกกำจัดออกไปได้ทั้งหมดในช่วงข้ามคืน แต่ก็ต้องใช้เวลามากกว่า ๒๐ เดือนสำหรับจีนที่จะหวนกลับมาผลิตสุกรให้เพียงพอเท่ากับระดับก่อนการเกิดโรค ดังนั้น เชื่อได้ว่า เนื้อไก่จะได้รับอานิสงค์จากราคาเนื้อไก่ที่สูงขึ้นไปอีกหลายปีต่อจากนี้ 

              ไก่งวงยังได้รับอานิสงค์ไปด้วย เมื่อผู้บริโภคเปลี่ยนจากเนื้อสุกรไปเป็นเนื้อไก่งวง เป็นอาหารจานพิเศษในวันหยุด เมื่อไรก็ตามที่ขาดแคลนแฮมในตลาด เนื้อไก่งวงจะถูกใช้ทดแทนเสมอ เมื่อปริมาณแหล่งอาหารประเภทโปรตีนชนิดหนึ่งถูกลงในตลาดท้องถิ่นควรช่วยให้บรรเทาปัญหาปริมาณเนื้อไก่งวงที่ผลิตออกมามากเกินความต้องการลงได้ แต่ก็อาจไม่ได้ให้ผลประโยชน์โดยตรงได้จากตลาดจีน อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่า โรค ASF จะช่วยขับเคลื่อนในทางบวกสำหรับผลิตภัณฑ์อย่างเนื้อไก่งวงบด และเนื้อไก่งวง ไปทดแทนแฮม



โรค ASF จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และจีน

              คำถามที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของโรค ASF ต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีกสหรัฐฯ คือ สหรัฐฯจะสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังจีนได้อีกครั้งหรือไม่ ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาเจรจาต่อรองระหว่างสหรัฐฯ และจีน เพื่อสร้างข้อตกลงใหม่ระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดสองประเทศ ในเวลานี้ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่า สถานการณ์โรค ASF ในจีนจะสามารถกดดันให้เกิดข้อตกลงนี้ได้อย่างไร ถึงกระนั้น พื้นฐานของการผลิต และความต้องการ บ่งชี้ว่า สหรัฐฯมีโอกาสจำหน่ายเนื้อสัตว์ให้จีนได้เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปี

              สภาการส่งออกเนื้อสัตว์ปีก และไข่สหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า จีนไม่ได้นำเข้าสินค้าแช่แข็ง หรือสัตว์ปีกพันธุ์จากสหรัฐฯ แต่อุตสาหกรรมการผลิตไก่ของจีน และความต้องการอาหารประเภทโปรตีนของประเทศกำลังเพิ่มขึ้น เชื่อได้ว่า สหรัฐฯจะสามารถกลับเข้าสู่ตลาดจีนได้อีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป และสถานการณ์ตลาดเนื้อสัตว์ในจีนรุนแรงขึ้น จีนจะถูกกดดันให้ต้องทำบางสิ่งเพื่อชดเชยความต้องการของประชาชน การเจรจาต่อรองระหว่างสหรัฐฯ และจีน และเนื้อไก่ และเนื้อไก่งวงจะเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุดของภาคการเกษตรกรรมเหนือกว่าสินค้าประเภทอื่นๆ ยิ่งกว่านั้น



ความเป็นไปได้สำหรับตลาดในจีน

              หากสหรัฐฯ สามารถค้าขายกับจีนได้อีกครั้ง จะเป็นประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกสหรัฐฯอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จีนจะยังนำเข้าไก่เพิ่มขึ้น หากจีนไม่หยุดห้ามการนำเข้าจากสหรัฐฯ แล้ว ก็จะนำเข้าจากบราซิล และผู้ส่งออกรายอื่นๆแทน ตลาดสัตว์ปีกในสหรัฐฯก็ยังจะคงได้ประโยชน์ เนื่องจาก ราคาเนื้อไก่ที่เพิ่มสูงขึ้น ในอดีต จีนเคยนำเข้าชิ้นส่วนเท้าไก่ และปลายปี รวมถึง ขา อีกด้วย ก่อนหน้าที่จีนจะห้ามการนำเข้าไก่จากสหรัฐฯ ด้วยการออกภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (anti-dumping duties) เมื่อแปดปีที่แล้วในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ส่งผลต่อยอดจำหน่ายเนื้อไก่ราว ๑.๑ พันล้านสหรัฐฯ แล้วต่อด้วยการห้ามนำเข้าอ้างเหตุโรคไข้หวัดนกในอีกห้าปีต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ สหรัฐฯ เคยส่งออกเนื้อไก่ให้จีนได้สูงถึง ๓๐,๐๐๐ เมตริกตัน หรือราวร้อยละ ๒ ของกำลังการผลิต หากการค้าสามารถกลับคืนมาได้ก็น่าจะพลิกฟื้นการยอดการส่งออกกลับคืนมาได้เหมือนเดิมเป็นอย่างน้อย

              ผู้ส่งออกสามารถหวังตั้งร้านค้าขายกันยาวๆในจีน เป็นตลาดช่องทางใหม่ในวิกฤติการณ์โรค ASF นี้ได้ จีนอยู่ภายใต้แรงกดดันสูงที่จะมีโอกาสผ่อนปรนการนำเข้าเนื้อไก่เพิ่มขึ้น เนื่องจาก ราคาเนื้อสัตว์ที่ทะยานสูงขึ้นอย่างรุนแรง ผู้ประกอบการเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ความต้องการเนื้อไก่สหรัฐฯสูงมาก ท่ามกลางสถานการณ์ความขาดแคลนเนื้อสัตว์โลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การส่งออกอาหารประเภทโปรตีนทุกชนิดก็อาจต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายด้านการโลจิสติก เวลานี้ โครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นตั้งแต่ห้องแช่แข็ง ห้องเย็น และตู้คอนเทนเนอร์ ยังเป็นคอขวดที่เป็นข้อจำกัดต่อการส่งออก สิ่งนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ก็ต้องใช้เงินลงทุนมาก และใช้เวลาไม่น้อยเช่นกัน

              ขณะที่มีโอกาสงดงามสำหรับผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ สหรัฐฯ จีนเองก็มุ่งหวังจะเลี้ยงตัวเอง คาดว่า จีนจะมีการขยายกำลังการผลิตสัตว์ปีก สัตว์ทะเล และไข่อย่างรวดเร็ว แต่ก็เชื่อได้ว่า ไม่ง่าย และไม่ทันการณ์ เนื่องจาก อายุไก่พันธุ์ที่แก่ลง และโรคระบาดในสัตว์ปีก การเพิ่มกำลังการผลิตสัตว์ปีกในจีนจะต้องใช้เวลาอีกนาน และยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ขาดแคลนเนื้อสุกรให้เลวร้ายลงไปอีก



เอกสารอ้างอิง

Alonzo A. 2019. What the US poultry industry needs to know about ASF. [Internet]. [Cited 2019 May 10]. Available from: https://www.wattagnet.com/articles/37636-what-the-us-poultry-industry-needs-to-know-about-asf



ภาพที่ ๑ ราคาเนื้อไก่ และเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆจะแพงขึ้น เนื่องจาก การระบาดของโรคอหิวาต์สุกรแอฟริกา (แหล่งภาพ BigStockPhoto.com)    

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

วิเคราะห์เสียงตรวจสุขภาพไก่สบายดีมั้ย


นักวิจัยกำลังคิดค้นวิธีการวิเคราะห์เสียงของไก่เนื้อ เพื่อสำรวจหาว่า พวกเค้าอยากบอกอะไรเราเกี่ยวกับสุขภาพ สวัสดิภาพสัตว์ และผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับ ระหว่างการเลี้ยงในฟาร์ม

              โครงการวิจัยที่มหาวิทยาลัยบริสตอล ภาควิชาเกษตรกรรม สัตวแพทย์ และวิทยาศาสตร์อาหาร จุดประกายขึ้นจากความเชื่อที่ว่า เสียงร้องของไก่เนื้อที่เลี้ยงในฟาร์มสมัยใหม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจสุขภาพ และประเมินสวัสดิภาพสัตว์ได้



เสียงร้องของลูกไก่

              การเลี้ยงสัตว์ปีกสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นระบบการตรวจวัดที่แม่นยำกำลังพัฒนาเครื่องมือการจัดการที่ช่วยตรวจสอบสวัสดิภาพสัตว์ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม รวมถึง ผลผลิตได้ตลอดเวลา ตามเวลาจริง การวิเคราะห์เสียง ช่วยประกอบการตัดสินใจ การพยากรณ์ และการหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สวัสดิภาพ และโรคระบาด ด้วยอุปกรณ์อัตโนมัตินี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ สวัสดิภาพสัตว์ในระบบการเลี้ยงสัตว์ปีกในฟาร์ม

                 หัวหน้าโครงการวิจัยนี้ Dr. Andy Butterworth มีวัตถุประสงค์ในการจำแนกคุณลักษณะของเสียงที่ลูกไก่ร้องออกมาโดยใช้อุปกรณ์การประเมินเสียงแบบอัตโนมัติตั้งแต่ช่วงแรกเกิดภายใต้สภาวะปรกติในฟาร์ม โครงการนี้ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการหาความสัมพันธ์ระหว่างเสียงๆหนึ่ง และพฤติกรรมทางสังคม และคุณลักษณะของการเปลี่ยนแปลงเสียง เช่น ความถี่ และชนิดของเสียงตามอายุของไก่

              การศึกษาครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายนนี้ คาดว่าจะได้พบความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง ความถี่ และชนิดของเสียง กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรือน ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เสียง ยังมีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Poultry Science เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๑๗ ที่ผ่านมาเรื่อง “Sound analysis to model weight of broiler chickens” โดยมีการบันทึกเสียง น้ำหนักตัวของไก่เนื้อในฟาร์มจริงตลอด ๕ รุ่นการเลี้ยง ในแต่ละวงจร ความถี่ที่สูงที่สุดของเสียงไก่สามารถใช้พยากรณ์น้ำหนัก พบว่า ใกล้เคียงกับน้ำหนักที่ชั่งได้จริงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แบบจำลองที่ค้นพบนี้ใช้สำหรับการพยากรณ์น้ำหนักไก่โดยอาศัยการตรวจสอบความถี่ของเสียงเป็นการพิสูจน์ได้ว่า น้ำหนักไก่สามารถพยากรณ์ได้โดยใช้การวิเคราะห์ความถี่ของเสียงที่ไก่ร้องในฟาร์ม



เอกสารอ้างอิง

McDougal T. 2019. Sound analysis of broilers to be explored to boost health and welfare. [Internet]. [Cited 2019 Mar 3]. Available from: https://www.poultryworld.net/Health/Articles/2019/5/Sound-analysis-of-broilers-to-be-explored-to-boost-health-and-welfare-423749E/ 



อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ วิเคราะห์ขาพิการจากโรคบีซีโอ

ปัญหาขาพิการส่งผลต่อการสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยภาพรวมคิดเป็นร้อยละ ๑ ของน้ำหนักไก่เนื้อส่งตลาดในสหรัฐฯ และโรคบีซีโอเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด ผลการวิจัยล่าสุดที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอใช้เครื่องมือ อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ ตรวจสอบตำแหน่งของการสร้างความร้อนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการอักเสบ 
              ไก่เนื้ออาจเกิดปัญหาขาพิการจากสาเหตุของโรคติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อก็ได้ โรคบีซีโอ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่แถบการเจริญเติบโตของกระดูก หรือโกรธเพลตในกระดูกขา ทำให้เกิดเนื้อตาย และขาพิการในที่สุด สาเหตุของบีซีโอยังไม่ทราบแน่ชัด และอุบัติการณ์ของปัญหาขาพิการจากโรคบีซีโอในฟาร์มเลี้ยงไก่มักเกิดขึ้นเอง แรงกดทางกายภาพจากการเดินสามารถสร้างรอยแตกขนาดจิ๋วในแถบการเจริญเติบโตของกระดูกที่ส่วนต้นของกระดูกแข้ง และกระดูกต้นขา ดังนั้นจึงเกิดเป็นตำแหน่งรอยแผลดึงดูดให้แบคทีเรียที่อยู่ในกระแสเลือดเข้ามาสร้างนิคมต่อไปได้ เช่นเดียวกับการสร้างนิคมของเชื้อโรคทุกชนิด รอยโรคของบีซีโอส่งผลให้เกิดการอักเสบ เจ็บปวด แล้วพัฒนาต่อไปเป็นความเครียด และปัญหาขาพิการ ที่เป็นประเด็นปัญหาด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่สำคัญ โดยเฉพาะ เมื่อไก่ไม่สามารถเดินเข้าถึงอาหาร และน้ำได้ 
              การวิจัยใช้เครื่องมือ อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ เพื่อบันทึกภาพอุณหภูมิของขาไก่เนื้อที่สุ่มเลือกมาได้ ๕ ตัวจากโรงเรือนในวันที่ ๗ (๖ ห้อง) ๙ (๖ห้อง) ๒๘ (๖ ห้อง) ๓๐ (๑๒ ห้อง) ๓๘ (๑๒ ห้อง) และ ๕๖ (๑๒ ห้อง) การใช้เครื่องมือ อินฟราเรด เทอร์โมกราฟ (Infrared thermography, IRT) เป็นเทคนิคที่ไม่ทำให้สัตว์เกิดความเจ็บปวด สามารถตรวจวัดการแผ่รังสีอินฟราเรดจากวัตถุ และสามารถใช้ประเมินสุขภาพสัตว์ได้อีกด้วย หลังจากเลี้ยงต่อไป ไก่ทดลองจะถูกฆ่าโดยไม่ทรมาน และตรวจสอบดูความรุนแรงของรอยโรคบีซีโอที่หัวกระดูกแข้ง และกระดูกต้นขาส่วนต้น 
              นักวิจัยตั้งสมมติฐานว่า การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่พื้นผิวจาก IRT ที่ตำแหน่งสำคัญของกระดูกจะช่วยตรวจสอบโรคบีซีโอได้โดยสัตว์ไม่ต้องเกิดความเจ็บปวด แบบจำลองพื้นลวด (wire flooring model) ถูกนำมาใช้สำหรับการเหนี่ยวนำอุบัติการณ์ของโรคบีซีโอให้สูงกว่าปรกติ เป็นสภาวะที่พบได้บ่อยภายใต้การผลิตไก่เนื้อเชิงพาณิชย์ โดยไม่มีการป้อนเชื้อก่อโรคใดๆ แบบจำลองพื้นลวดทำให้พื้นที่การเดินไม่มั่นคง เป็นการเพิ่มความเครียดจากแรงฉีก และแรงบิดต่อแถบการเจริญเติบโตของกระดูกยาว เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคบีซีโอ และอุบัติการณ์ขาพิการ การวิจัยครั้งนี้ยังประเมินผลของความเข้มแสง ๓ ระดับคือ ๒ ๕ และ ๑๐ ลักซ์ และพื้นอีก ๒ แบบ ได้แก่ พื้นที่ใช้วัสดุรองพื้น และพื้นลวด แล้วประเมินอุณหภูมิพื้นผิวด้วยเครื่อง IRT ในข้อเข่า แข้ง และเท้า  ของไก่เนื้อ อุณหภูมิที่พื้นผิวของขาถูกตรวจวัดด้วยภาพจากเครื่อง IRT ก่อนผ่าซาก แล้วเปรียบเทียบกับคะแนนความรุนแรงของรอยโรคบีซีโอที่หัวกระดูกต้นขาหลังการผ่าซาก ทั้งไก่สุขภาพดี และขาพิการ ผลการศึกษา ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาขาพิการได้จากอุณหภูมิพื้นผิวที่ขาได้
              โดยสรุป ไก่เนื้อที่ขาพิการจะมีรอยโรคบีซีโออย่างรุนแรงมากกว่าในส่วนต้นของกระดูกต้นขา แข้ง และมีอุณหภูมิพื้นผิวจากเครื่อง IRT ที่ต่ำลงจากบริเวณข้อเข่า แข้ง และเท้า ผลของความเข้มแสง และลักษณะพื้นต่อสุขภาพขายังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด อุบัติการณ์สำหรับไก่เนื้อที่เลี้ยงบนพื้นลวดจากการทดลองที่ ๑ สูงกว่าการทดลองที่ ๒ และการตรวจวัดในการศึกษาครั้งนี้ก็ไม่สามารถอธิบายความแตกต่างดังกล่าวได้ เนื่องจากธรรมชาติของอุบัติการณ์ปัญหาขาพิการจากโรคบีซีโอที่เกิดขึ้นเองได้ โดยไม่ทราบสาเหตุ คงต้องมีการวิจัยให้ลึกซึ้งกว่านี้เพื่อสร้างความกระจ่างชัดว่า ปัจจัยโน้มนำอะไรบ้างที่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดขาพิการจากโรคบีซีโอได้ชัดๆ อย่างน้อยผลการวิจัยครั้งนี้ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่า เครื่อง IRT สามารถตรวจสอบโรคบีซีโอได้อย่างแม่นยำจากการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิพื้นผิวที่ขา แม้ไก่จะไม่ได้แสดงอาการปรากฏให้เห็นก็ตาม ต่อไปในอนาคต นักวิจัยก็จะสามารถนำเครื่องมือนี้สำหรับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ไก่ เพื่อลดปัญหาขาพิการจากโรคบีซีโอในไก่เนื้อได้

เอกสารอ้างอิง
Weimer et al. 2019. Using infrared thermography for evaluating BCO lameness. [Internet]. [Cited 2019 Mar 22]. Available from: https://www.poultryworld.net/Health/Articles/2019/5/Using-infrared-thermography-for-evaluating-BCO-lameness-430435E/


ภาพที่ ๑ ไก่เนื้อขาพิการพบรอยโรคบีซีโออย่างร้ายแรงที่กระดูกต้นขา และแข้ง โดยมีอุณหภูมิพื้นผิวจากเครื่อง IRT ต่ำลงที่ข้อเข่า แข้ง และบริเวณเท้า (แหล่งภาพ: Studio Kastermans)

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

นักวิจัยยืนยันการกินไข่ไม่เกี่ยวกับสโตรค


นักวิจัยยืนยันว่า การบริโภคไข่เพียงวันละฟองไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคสโตรค จากผลการวิจัยในสแกนดิเนเวีย
สโตรค (Stroke) หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่ทำให้สมองขาดเลือดจนทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จนทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้าและ/หรือบริเวณแขนขาครึ่งซีกของร่างกาย พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว มุมปากตก น้ำลายไหล กลืนลำบาก ปวดศีรษะ เวียนศีรษะทันทีทันใด ตามัว มองเห็นภาพซ้อนหรือเห็นครึ่งซีก หรือตาบอดข้างเดียวทันทีทันใด เดินเซ ทรงตัวลำบาก
นักวิจยไม่พบความสัมพันธ์กับพาหะของฟีโนไทป์ เอพีโออี ๔ ที่มีบทบาทสำคัญต่อเมตาโบลิซึมของคอเลสเตอรอล และพบได้บ่อยในประชากรชาวฟินแลนด์ ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ รายงาน ความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารที่มีคอเลสเตอรอล หรือไข่ไก่ และความเสี่ยงต่อสโตรคได้ถูกโต้แย้งจากรายงานการวิจัยจำนวนมากในปัจจุบัน ผลวิจัยล่าสุดในประชากร ๓๐,๐๐๐ ราย เพิ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในสหรัฐฯ พบว่า การกินไข่ไก่เฉลี่ย ๒ ฟองต่อวัน มีความเสี่ยงต่อหัวใจวาย และโรคตามระบบหัวใจ และหลอดเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๗ และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๔
แต่ผลการวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำ American Journal of Clinical Nutrition พบว่า การบริโภคไข่ไก่ หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงไม่มีความสัมพันธ์กับสโตรคที่เพิ่มขึ้น

ผลวิจัยที่น่าประหลาดใจ
                การวิเคราะห์ข้อมูลโดยมหาวิทยาลัยฟินแลนด์ตะวันออกโดยใช้ข้อมูลด้านสุขภาพ และโภชนาการจากชาย ๑ ๙๕๐ คน อายุระหว่าง ๔๒ ถึง ๖๐ ปี ที่ไม่มีประวัติโรคหัวใจ และหลอดเลือด เป็นเวลาต่อเนื่องกว่า ๒๑ ปี มีผู้ป่วยสโตรค ๒๑๗ ราย
               โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ชายกินไข่ราว ๔.๕ ฟองต่อสัปดาห์ ได้รับคอเลสเตอรอล ๔๐๘ มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อพิจารณาพฤติกรรม และสุขภาพ นักวิจัยพบว่า ไม่พบความแตกต่างของความเสี่ยงระหว่างผู้ชายที่กินไข่ไก่น้อยกว่า ๒ ฟองต่อสัปดาห์ และผู้ชายที่กินไข่ไก่มากกว่า ๖ ฟองต่อสัปดาห์

ผลวิจัยไม่สามารถตีความครอบคลุมถึงทุกคน ทุกประเทศได้
               ผลวิจัย บ่งชี้ว่า การกินคอเลสเตอรอล หรือไข่ไก่ ปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของสโตรค แม้กระทั่งในคนที่มีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยโน้มนำที่จะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลจากการบริโภคอาหารสูงขึ้นกว่าคนปรกติก็ตาม กลุ่มควบคุมที่กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงที่สุด ๕๒๐ มิลลิกรัมต่อวัน และกินไข่ไก่เฉลี่ยแล้ววันละฟอง โดยไม่สามารถทำให้สูงไปกว่าระดับนี้ได้  
ไข่ไก่ ๑ ฟองประกอบด้วยคอเลสเตอรอลประมาณ ๒๐๐ มิลลิกรัม และจากการทดลองครั้งนี้ หนึ่งในสี่ของคอเลสเตอรอลทั้งหมดที่กินเข้าไปมาจากไข่ไก่

กินไข่ไก่แต่พอประมาณ
               การศึกษาครั้งนี้ ย้ำให้นักวิจัยมุ่งไปที่คนที่ไม่เคยมีประวัติโรคหัวใจ และหลอดเลือดมาก่อน และกลุ่มประชากรที่ศึกษาค่อนข้างน้อย นักวิจัยแนะนำให้การศึกษาในอนาคตควรขยายขนาดกลุ่มประชากรให้ใหญ่กว่านี้ รวมถึง ควรครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างประชากรที่เคยมีประวัติโรคหัวใจ และหลอดเลือด และกำลังได้รับคำแนะนำให้จำกัดการกินคอลเลสเตอรอล และไข่ไก่
               หัวหน้าคณะผู้วิจัย Jyrki Virtanen แห่งภาควิชาระบาดวิทยาที่มหาวิทยาลัยฟินแลนด์ตะวันออก กล่าวกับนิวยอร์กไทม์ไว้ว่า การกินไข่ไก่แต่พอประมาณเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดี ไม่มีปัญหาโรคหัวใจ หรือเบาหวาน การกินไข่ไก่ 1 ฟองต่อวันเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ
                การศึกษาครั้งนี้ตีพิมพ์หลังจากรายงานจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร วิเคราะห์ข้อมูลจากชาย และหญิงมากกว่า ๔๐๐,๐๐๐ รายในยุโรปเป็นเวลา ๑๒ ปี และพบว่า การเพิ่มการกินไข่ไก่ทุกร้อยละ ๒๐ (ประมาณครึ่งฟองต่อวัน) ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ American Heart Association Journal โดยยังพบผลดีจากการบริโภคโยเกิร์ต และชีส ขณะที่การบริโภคเนื้อแปรรูป และเนื้อแดง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ  

เอกสารอ้างอิง
McDougal T. 2019. Research shows egg consumption not linked to stroke risk. [Internet]. [Cited 2019 Mar 24]. Available from: https://www.poultryworld.net/Eggs/Articles/2019/5/Research-shows-egg-consumption-not-linked-to-stroke-risk-431673E/

ภาพที่ ๑ นักวิจัยยืนยันการกินไข่ไม่เกี่ยวกับสโตรค (แหล่งภาพ Willem Schouten)


วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ล็อกเป้าเปปทิโดไกลแคนส์เพื่อ FCR โดดเด่นกว่าที่เคย

การเลี้ยงไก่เนื้อเป็นระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ประกอบการผลิตสัตว์ปีก การใช้สารอาหารทุกชนิดอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญ การใช้เวลาของปฏิกิริยาการเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของเปปทิโดไกลแคนส์สามารถช่วยลดการเกิดเศษเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ของสัตว์ปีก เพื่อช่วยรักษาการทำหน้าที่ตามปรกติของกระเพาะอาหาร และลำไส้ รวมถึง การย่อย และดูดซึมอาหารอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

              ต้นทุนของอาหารสัตว์โดยทั่วไปอยู่ระหว่างร้อยละ ๖๐ ถึง ๗๐ ของต้นทุนการผลิตทั้งหมดของการผลิตสัตว์ปีก ดังนั้น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั่วโลกจึงต่างค้นหาวิถีทางใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหาร เพื่อให้เกิดความเหมาะสมระหว่างคุณภาพ และต้นทุนของอาหารสัตว์ ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งคือ การพยายามค้นหาการใช้ประโยชน์อาหารสัตว์ที่เหมาะสมเป็นการใช้ประโยชน์จากการดูดซึมอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ทราบดีว่า การทำหน้าที่ของลำไส้อย่างเหมาะสมช่วยให้การใช้ประโยชน์สารอาหาร และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์อาหารจากการย่อย และดูดซึมสารอาหารให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ดังนั้น องค์ประกอบของแบคทีเรียในลำไส้ โดยเฉพาะ เปปทิโดไกลแคน (peptidoglycan, PGN)” มีบทบาทสำคัญหนึ่ง โดยของเสียจาก PGN สามารถส่งผลต่อสุขภาพทางเดินอาหารได้ และการแลกเปลี่ยนอาหารอย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นสารอาหารสำหรับการดูดซึมสารอาหารอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผลผลิต และสวัสดิภาพสัตว์ดีขึ้น 



ผลของไมโครไบโอตาต่อสุขภาพทางเดินอาหาร

              การทำหน้าที่ของกระเพาะอาหาร และลำไส้มีบทบาทสำคัญจากปัจจัยหลายประกอบ ได้แก่ การปรุงแต่งสารอาหาร สวัสดิภาพสัตว์ และสถานภาพทางภูมิคุ้มกันของสัตว์ รวมถึง ความแข็งแรงของโครงสร้าง และการทำหน้าที่ของปราการป้องกันกระเพาะอาหาร และลำไส้ เมื่อเร็วๆนี้ นักวิจัยกำลังสนใจผลของไมโครไบโอตาในลำไส้ และปฏิกิริยากับโฮสต์ ที่ส่งผลต่อการทำหน้าที่ตามปรกติของลำไส้ และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร ไมโครไบโอตาในลำไส้มีความจำเป็นต่อการควบคุมสมดุลร่างกายตามปรกติ เนื่องจาก ส่งผลต่อการทำน้าที่ทางสรีรวิทยา รวมถึง การย่อย และการดูดซึมอาหาร เมตาโบลิซึมของพลังงาน การป้องกันการติดเชื้อที่ชั้นเยื่อเมือก และการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย ปฏิกิริยาดังกล่าวนี้ ได้เน้นย้ำให้ตระหนักถึงความสำคัญของไมโครไบโอตาในลำไส้ที่มีต่อการรักษาสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ปีกอีกด้วย

              อย่างไรตาม ขณะที่ผลของไมโครไบโอตาต่อการทำหน้าที่ของระบบทางเดินอาหารมีการวิจัย และศึกษาอย่างมาก ผลของมวลชีววัตถุของแบคทีเรียที่ตายแล้วต่อสุขภาพทางเดินอาหาร และการดูดซึมสารอาหารมักถูกมองข้ามไปในงานวิจัยจนถึงปัจจุบัน



ภาพที่ ๑ แบคทีเรียที่ตาย และส่วนของผนังเซลล์แบคทีเรียในลำไส้ มีอิทธิพลในทางลบต่อการดูดซึมสารอาหาร (แหล่งภาพ DSM)










มุ่งเป้าที่ PGN
              PGN คือสารมิวรีอินเป็นโพลีเมอร์ที่ประกอบด้วยโมโนเมอร์ต่างๆกัน ประกอบกันเป็นห่วงโซ่โพลีแซคคาไรด์ที่มีพันธะเชื่อมกันกลายเป็นสายเปปไทด์ขนาดสั้น สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งผนังเซลล์แบคทีเรียชนิดแกรมบวก และแกรมลบ PGN เป็นโครงสร้างที่ช่วยค้ำจุนรูปร่างของแบคทีเรียผ่านความดันออสโมซิส   แบคทีเรียในลำไส้ชนิดแกรมบวก และแกรมลบ ตามปรกติจะไม่ก่อให้เกิดโรค อย่างไรก็ตาม เศษส่วนของผนังเซลล์ที่ประกอบขึ้นเป็น PGN มักเป็นสารที่ขัดขวางการแลกเปลี่ยนอาหาร และผลผลิตสัตว์ปีก โดยเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของระบบทางเดินอาหาร และประสิทธิภาพของลำไส้ส่วนท้าย
              นอกเหนือจากนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าการแบ่งเซลล์ตามปรกติ และการตายของเซลล์ตามธรรมชาติจะปลดปล่อยเศษส่วนของผนังเซลล์ จึงเป็นแหล่งของ PGN ปริมาณมากมายเข้าสู่ทางเดินอาหาร ซึ่งจะเกิดปฏิสัมพันธ์กับผนังของลำไส้ เป็นสาเหตุให้ PGN สะสมอยู่ในลำไส้ แล้วกลายเป็นของเสียในลำไส้ เรียกว่า เศษอาหาร (debris)” แล้วขัดขวางประสิทธิภาพของทางเดินอาหารในการย่อยสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ลดประสิทธิภาพการย่อยได้ และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารแย่ลง แสดงให้เห็นว่า PGN อาจเพิ่มความสามารถในการผ่านเข้าออกได้ของลำไส้ และลดการบีบตัวของทางเดินอาหารจนทำให้การย่อยอาหาร และการดูดซึมอาหารได้ลดลง ส่งผลต่อผลผลิตสัตว์ต่อไปได้

กลยุทธใหม่ด้านอาหารสัตว์ 
              การใช้เวลาของปฏิกิริยาการเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของ PGN สามารถช่วยลดการเกิดเศษเซลล์แบคทีเรียในลำไส้ของสัตว์ปีก เป็นช่วยรักษาการทำหน้าที่ตามปรกติของกระเพาะอาหาร และลำไส้ ช่วยให้ประสิทธิภาพ กลยุทธการเสริมสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมไมโครไบโอตาในลำไส้ปรกติ ยกตัวอย่างเช่นการเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจที่อาจช่วยป้องกันระบบทางเดินอาหาร และส่งเสริมประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร และผลิตสัตว์ อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมด้านโภชนาการอาหารสัตว์จะประสบความสำเร็จได้ จำเป็นต้องช่วยรักษาสมดุลระหว่างไมโครไบโอตาของทางเดินอาหาร และตัวสัตว์ และป้องกันสิ่งที่ทำลายโครงสร้างของระบบทางเดินอาหาร
             
บทสรุป
              การส่งเสริมการย่อย PGN จากแบคทีเรียตายในทางเดินอาหารของไก่เนื้อเป็นกุญแจสำคัญต่อการรักษาสมดุลของการทำหน้าที่ทางเดินอาหารที่ดี และสร้างความมั่นใจต่อประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร ผลการเลี้ยงสัตว์ และสุขภาพที่ดี ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นชนิดแรก และเป็นเอนไซม์มิวรามิเดสจากเชื้อจุลชีพเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานได้ดีในทางเดินอาหาร นับเป็นทางเลือกทางโภชนาการที่น่าตื่นตาตื่นใจที่จะช่วยให้ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกสามารถปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในการทำหน้าที่ของทางเดินอาหาร และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร ให้แปลไปเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ผู้เลี้ยงสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน

 
เอกสารอ้างอิง
Ulibarri RL. 2019. Targeting peptidoglycans for improved feed efficiency. [Internet]. [Cited 2019 Feb 1]. Available from: https://www.poultryworld.net/Nutrition/Articles/2019/4/Targeting-peptidoglycans-for-improved-feed-efficiency-417399E/






วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ยุคสมัยของฝาจแทนการล่มสลายของยุคหลังยาปฏิชีวนะ


โลกของสุขภาพ และโภชนาการกำลังเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการสู้กับปัญหาเชื้อดื้อยา การใช้แบคเทอริโอฝาจ หรือเอนไซไบโอติก อาจเป็นทางเลือกที่ดี ข้อดี และข้อเสีย และวิธีการใช้ที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร
               ถึงเวลานี้ต้องเตือนภัยกันแล้วอย่างจริงจังหลังจากข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรียก่อโรค สถานการณ์ปัจจุบัน เชื้อดื้อยาส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์แล้ว ในแต่ละปี สหภาพยุโรปมีผู้ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ๒๕,๐๐๐ รายต่อปี ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยามากกว่า ๗๐๐,๐๐๐ รายต่อปี ในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ แนวโน้มของสถานการณ์จะทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยามากกว่าโรคมะเร็ง
               นอกเหนือจากการสูญเสียชีวิตมนุษย์แล้ว เชื้อดื้อยายังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอีกด้วย ภาคสาธารณสุขต้องจ่ายให้กับปัญหาเชื้อดื้อยาในแต่ละปีกว่า ๑.๕ พันล้านยูโรในสหภาพยุโรป ด้วยเหตุนี้ สหภาพยุโรปจึงตื่นตัว และกระตุ้นให้กำหนดแผนชลอการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียอันตรายเหล่านี้
ภาพที่ ๑ ภาพวาดของฝาจทำลายเชื้อแบคทีเรีย (แหล่งภาพ Monika Wisniewska)











แผนสุขภาพหนึ่งเดียว
               สหภาพยุโรปเองก็มีแผนการทำงานสุขภาพหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้กับเชื้อดื้อยา เพื่อสร้างความร่วมมือ และส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อป้องกัน และควบคุมปัญหาเชื้อดื้อยาทั่วทุกประเทศ นอกจากนั้น แผนนี้ยังออกแบบเพื่อกระตุ้นให้มีการวิจัย และพัฒนาหาหนทางเลือกสำหรับการรักษาวิธีใหม่
               นอกเหนือจากสุขภาพสัตว์แล้ว ปัญหาของเชื้อแบคทีเรียติดต่อสู่มนุษย์นี้ยังเป็นปัญหาร้ายแรง สาเหตุสำคัญเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องในบางส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์จนทำให้เกิดการพัฒนาของเชื้อดื้อยาที่สามารถถ่ายทอดต่อไปสู่โรงพยาบาลได้
               หนทางใดที่เป็นทางออกสำหรับปัญหาโลกแตกนี้ ล้วนส่งผลต่อการตลาดทั้งภาคการเกษตรกรรม การแพทย์ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นควรพิจารณาจากมุมมองต่างๆ จึงมีข้ออ้างสำหรับการลดการใช้ยาปฏิชีวนะ และยาฆ่าเชื้อ ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยยาต้านจุลชีพชนิดต่างๆ ที่เชื่อได้ว่าจะช่วยลดความถี่ของเชื้อแบคทีเรียดื้อยา และอาจเป็นกุญแจสำหรับหาทางออกใหม่เพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียดื้อยาหลายชนิด 

ภาพที่ ๒ แผนภาพการทำงานต้านเชื้อจุลชีพของแบคเทอริโอฝาจ

















แบคเทอริโอฝาจ และเอนไซไบโอติก
               แบคเทอริโอฝาจ หรือเรียกง่ายๆว่า ฝาจ (ภาพที่ ๒) เป็นเชื้อไวรัสที่เลือกที่จะติดเชื้อสู่แบคทีเรีย ภายในเซลล์แบคทีเรีย ฝาจจะเพิ่มจำนวน และสร้างอนุภาคของเชื้อไวรัสใหม่ปล่อยเป็นอิสระภายในเวลาไม่นานหลังจากเชื้อแบคทีเรียตาย หรือเซลล์แบคทีเรียแตกตัวลง คุณสมบัตินี้ช่วยให้ฝาจสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้อย่างทรงพลัง และมีความหวังไว้ว่าจะนำไปใช้สำหรับโรคติดเชื้ออีกหลายชนิด เรียกว่า การบำบัดด้วยฝาจ (phage therapy)
                 วิธีการบำบัดนี้ถูกค้นพบโดย เฟลิกซ์  เดเรลล์ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ถูกนำมาใช้ในยุโรปตะวันออกเป็นเวลานาน จนกระทั่ง ยาปฏิชีวนะถูกนำมาใช้แทนที่ ถึงกระนั้น ในโปแลนด์ และสหภาพโซเวียตก็ยังคงนิยมใช้เป็นยาต้านจุลชีพต่อไป ในวันนี้หลายประเทศในตะวันตกกำลังหาวิธีการใช้ฝาจเพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้ออีกครั้ง

               เอนไซไบโอติกเป็นโปรตีนประเภทเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในการบำบัดด้วยฝาจ เอนไซไบโอติกเป็นโปรตีนที่ถูกสังเคราะห์โดยฝาจ จึงสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้อย่างจำเพาะเจาะจง เมื่อใช้เติมลงไปภายนอก ส่วนใหญ่ของเอนไซไบโอติกคือ เอนโดไลซิน (endolysins) ที่ผลิตขึ้นจากฝาจ หน้าที่จำเพาะของเอนโดไลซินเหล่านี้คือ การทำลายเชื้อแบคทีเรียที่เป็นโฮสต์ของฝาจ ดังนั้น อนุภาคของเชื้อไวรัสใหม่จึงสามารถถูกปล่อยเป็นอิสระ เมื่อวงจรการเพิ่มจำนวนสิ้นสุดลงดังภาพที่ ๓

ภาพที่ ๓ แสดงการทำหน้าที่ต่อต้านจุลชีพของเอนไซไบโอติก















สถานการณ์ปัจจุบันของการบำบัดด้วยฝาจ
               รายงานการวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับการบำบัดด้วยฝาจกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่า นักวิจัยจะเริ่มมีข้อมูลถั่งโถมเข้ามาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของฝาจ และเอนไซไบโอติก ตลอดจนความปลอดภัย โดยเฉพาะ การกำจัดเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อม
               เป็นที่น่าสังเกตว่า นักวิจัยบางกลุ่มเท่านั้นที่สนใจ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ตั้งในสหรัฐฯ เนื่องจาก นักวิจัยเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้พัฒนาผลิตภัณฑ์หลายชนิด ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถใช้ในภาคส่วนต่างๆของห่วงโซ่การผลิตของธุรกิจการเกษตร นับตั้งแต่การรักษา หรือป้องกันโรคในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงการฆ่าเชื้อโรงเรือน การประยุกต์ใช้ด้านการเกษตรกรรม ได้แก่
๑.     ผลิตภัณฑ์ อะกริฝาจ โดยบริษัท อินทราไลติกซ์ สหรัฐฯ (AgriPhage, Intralytix) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยฝาจหลายชนิดผสมกันออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในพืช เป้าหมายเป็นการต่อสู้กับโรคในพืชไร่ เช่น มะเขือเทศ และพริกไทย
๒.    ภาคการผลิตอาหาร ลิสเท็กซ์ พี ๑๐๐ โดยบริษัทไมครีออส เนเธอร์แลนด์ (Listex P100, Micreos) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยฝาจ ๖ ชนิด เพื่อทำลายเชื้อ ลิสทีเรีย โมโนไซโตจีเนส ในสินค้าอาหารบางชนิด และในกระบวนการผลิตอาหาร
๓.    ภาคสุขภาพสัตว์ อินทราไลติกซ์ (Intralytix) พัฒนาฝาจสำหรับการป้องกัน และรักษาโรคสัตว์ ทั้งสัตว์เลี้ยง และฟาร์มปศุสัตว์ โดยมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายต่อต้านเชื้อ ซัลโมเนลลา ได้แก่ พีแอลเอสวี ๑ (PLSV-1) และ คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ ได้แก่ ไอเอ็นที ๔๐๑ (INT-401) ใช้สำหรับรักษาไก่
๔.    ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ลิสต์ชิลด์ (ListShield) อีโคชิลด์ (EcoShield) ซัลโมเฟรช (SalmoFresh) และชิกาชิลด์ (ShigaShield) ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ ลิสทีเรีย โมโนไซโตจีเนส และ อี. โคไล โอ๑๕๗: เอช ๗ ซัลโมเนลลา และชิเจลลา ตามลำดับ กำลังถูกใช้ในการป้องกันสัตว์ เพื่อหยุดเชื้อแบคทีเรียมิให้เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตอาหาร     
๕.    ผลิตภัณฑ์ที่สามารถฆ่าเชื้อผิวหนังของสัตว์มีชีวิตก่อนเข้าโรงฆ่า ได้แก่ อีโคลิไซด์ พีเอ็กซ์ ของบริษัท อินทราไลติกซ์ (Ecolicide PX, Intralytix) และ แบควอช ของบริษัท โอมนิไลติกซ์ (BacWash, OmniLytics) สหรัฐฯ
๖.     นอกจากนั้น ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น อีโคลิไซด์ (Ecolicide) ซัลโมไลซ์ (SalmoLyse) และลิสฝาจ (LystPhage) ของบริษัทอินทราไลติกซ์ (Intralytix)

โอกาส และความท้าทาย
               เมื่อนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้เป็นสารต่อต้านเชื้อจุลชีพ การประเมินผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับวิธีการที่มีอยู่แล้วเพื่อหาโอกาส และความท้าทายของผลิตภัณฑ์ใหม่
               ๑. แบคเทอริโอฝาจเป็นเชื้อจุลชีพที่มีอยู่มากมาย สามารถหาได้ง่ายในสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่าง แยกเชื้อได้ในตัวอย่างดินที่ความหนาแน่น ๑๐๘ อนุภาคต่อกรัม หมายความว่า มนุษย์ สัตว์ และพืช มีโอกาสสัมผัสเชื้ออยู่แล้วเกือบตลอดชีวิต โดยไม่มีอาการปรากฏให้เห็นได้
               ๒. การออกฤทธิ์ของแบคเทอริโอฝาจ และเอนไซไบโอติกมีความจำเพาะสูง เมื่อใช้ในการรักษามุ่งเป้าต่อเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอย่างเจาะจง โดยไม่มีผลต่อเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ
               ๓. ไม่ว่าจะใช้กับแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะ หรือไวรับต่อยาปฏิชีวนะ ประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อของแบคเทอริโอฝาจ และเอนไซไบโอติกก็เหมือนกัน
               ๔. แบคเทอริโอฝาจเพิ่มจำนวนต่อเมื่อติดเชื้อในแบคทีเรียก่อโรค ยิ่งทำให้เพิ่มคุณสมบัติการต่อต้านเชื้อจุลชีพ
               ๕. เอนไซไบโอติกออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตของแบคทีเรีย ดังนั้น จึงยากสำหรับเชื้อแบคทีเรียจะพัฒนาภาวะดื้อยา ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจนถึงปัจจุบันจึงยังไม่พบเชื้อแบคทีเรียดื้อต่อเอนไซไบโอติก
               การต่อต้านเชื้อจุลชีพโดยแบคเทอริโอฝาจ ยังมีข้อเสียบางประการ
               ๑. การยอมรับโดยบางส่วนของสังคม เนื่องจาก แบคเทอริโอฝาจอาจเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสที่มีโอกาสเป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสเหล่านี้มีความจำเพาะต่อเชื้อแบคทีเรีย จึงไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ พืช หรือสิ่งแวดล้อม
               ๒. การใช้แบคเทอริโอฝาจยังต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับชีววิทยาของเชื้อ และคุณลักษณะทางพันธุกรรม เป้าหมายของงานวิจัยควรต้องสร้างความมั่นใจว่า จะไม่มีโอกาสที่ฝาจเป็นพาหะ หรือสามารถถ่ายทอดแฟคเตอร์ด้านความรุนแรงไปยังเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ
               ๓. ความจำเพาะของแบคเทอริโอฝาจสำหรับเป้าหมายต่อเชื้อแบคทีเรียมีสูงอย่างมาก หมายความว่า จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า ทุกสายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรียจะถูกทำลายลงได้ จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมของฝาจหลากหลายชนิดจากโฮสต์หลายๆแหล่งที่มา
               การปรากฏภาวะดื้อต่อฤทธิ์ของฝาจต่อการต้านเชื้อจุลชีพอาจเป็นสิ่งที่วิตกกัน ในกรณีของแบคเทอริโอฝาจ แบคทีเรียสามารถพัฒนาภาวะดื้อต่อฤทธิ์ของฝาจได้ แต่การใช้ฝาจหลายชนิดผสมกันจะช่วยลดโอกาสของการดื้อต่อฤทธิ์ของฝาจ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ยังไม่มีรายงานว่า เชื้อแบคทีเรียดื้อต่อเอนไซไบโอติก แม้ว่าจะมีรายงานหลายฉบับพยายามทดลองให้ปริมาณต่ำกว่าระดับการยับยั้งเชื้อได้ซ้ำๆแล้วก็ตาม

มุมมองสำหรับอนาคต
                  รายชื่อผลิตภัณฑ์จะขยายไปสู่การประยุกต์ใช้สำหรับมนุษย์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ประกอบด้วยแบบอย่างสำหรับการใช้สารประกอบที่มีฝาจเป็นสารต่อต้านเชื้อจุลชีพ เพื่อประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆกัน
               ความจริงแล้ว หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดก่อนที่จะนำไปสู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้คือ ไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับทุกประเทศ เช่น กระทรวงเกษตรฯ และองค์การอาหาร และยา ของสหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดสำหรับภาคการเกษตรกรรม ถึงกระนั้น หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป ประเมินฝาจสำหรับใช้ถนอมอาหารสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่มีการสรุปข้อมูลสำหรับให้ใช้ในสหภาพยุโรปได้
               ในสหภาพยุโรป จึงยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ในปัจจุบัน ยังมีงานวิจัยปล่อยออกมาเรื่อยๆถึงโอกาสทองที่อาจเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลที่จำเป็นต่อไป เพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้ได้เตรียมพร้อมทำความเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของฝาจต่อไป

เอกสารอ้างอิง
Suárez PG and González AR. 2019. Pros and cons of using phages. [Internet]. [Cited 2019 Feb 1]. Available from: https://www.poultryworld.net/Health/Articles/2019/2/Pros-and-cons-of-using-phages-388607E/

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...