วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568

เทคโนโลยีฝาจอัจฉริยะกับเอไอในการควบคุมการติดเชื้อข้อต่อเทียม

การเติบโตของเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องจักร และปัญญาประดิษฐ์ ในการผลักดันงานวิจัย การพัฒนาและการประยุกต์ใช้การรักษาโรคด้วยฝาจ โดยเน้นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อแบคเทอริโอฝาจในฐานะทางเลือกหรือส่วนเสริมที่มีศักยภาพต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ สามารถพลิกโฉมการรักษาด้วยฝาจได้ ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการขยายผล ประสิทธิภาพ และความแม่นยำในการรักษา

การดื้อยาต้านจุลชีพ หรือเอเอ็มอาร์ เป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตทั่วโลก โดยมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลให้เกิดอัตราการดื้อยาที่เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ การใช้และการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมในหลายอุตสาหกรรม การลดลงของนวัตกรรมทางเภสัชกรรมในการค้นพบและพัฒนายาปฏิชีวนะ และความท้าทายโดยธรรมชาติของการดื้อยา ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดความจำเป็นในการวิจัยแนวทางการรักษาทางเลือกใหม่เพื่อควบคุมและรักษาการติดเชื้อ เอเอ็มอาร์ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ท้าทายอย่างยิ่งในศัลยกรรมกระดูก โดยเฉพาะการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อ หรือที่เรียกว่า การติดเชื้อข้อต่อเทียม พบได้ประมาณร้อยละ ๒ ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อครั้งแรก และร้อยละ ๓ ถึง ๕ ในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อซ้ำ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความเจ็บป่วยรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน และอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดซ้ำ การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบดั้งเดิม ไม่สามารถจัดการกับการติดเชื้อข้อต่อเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ปัญหาการดื้อยา และการกำจัดไบโอฟิล์มที่ก่อตัวบนวัสดุอุปกรณ์ทางศัลยกรรมกระดูกมีประสิทธิภาพต่ำ จึงเกิดความจำเป็นในการวิจัยและพัฒนาสารรักษาทางเลือกใหม่รับมือกับการติดเชื้อประเภทนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยภาพรวม การรักษาการติดเชื้อด้วยยาปฏิชีวนะแบบดั้งเดิม กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการนำไปใช้ทางคลินิก ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ และประสิทธิภาพที่ต่ำในการจัดการกับไบโอฟิล์ม ส่งผลให้เกิดความจำเป็นในการวิจัยหาตัวเลือกการรักษาทางเลือกใหม่ ด้วยกลไกการต้านจุลชีพที่เป็นเอกลักษณ์ ความจำเพาะต่อเป้าหมาย ความหลากหลาย ความสามารถในการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในตัวเอง และคุณสมบัติในการต่อต้านไบโอฟิล์ม รวมถึงความก้าวหน้าล่าสุดในด้านจีโนมิกส์และชีววิทยาสังเคราะห์แบคเทอริโอฝาจ จึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะทางเลือกหรือส่วนเสริมในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคหลายประการที่ขัดขวางการนำแบคเทอริโอฝาจมาใช้ในทางคลินิก เช่น ความจำเพาะระหว่างฝาจกับโฮสต์ การดื้อฝาจของแบคทีเรีย และความท้าทายในการคัดเลือกฝาจที่เหมาะสม เครื่องมือด้านการเรียนรู้ของเครื่อง และปัญญาประดิษฐ์ มีโอกาสเข้ามาปฏิวัติการรักษาด้วยฝาจ โดยช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขยายผล ประสิทธิภาพ และความแม่นยำของการรักษา บทความนี้เน้นถึงการประยุกต์ใช้ การเรียนรู้ของเครื่อง และปัญญาประดิษฐ์ ที่สำคัญในการศึกษา พัฒนา และนำฝาจมาใช้ในการรักษาอย่างเป็นระบบ

 

เอกสารอ้างอิง

Mehta, N., Nguyen, A. T., Rodriguez, E. K., & Young, J. (2025). Smart Phages: Leveraging Artificial Intelligence to Tackle Prosthetic Joint Infections. Antibiotics, 14(9), 1499. https://doi.org/10.3390/antibiotics14090949

ภาพที่ ๑ การเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาด้วยไฟจ์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (แหล่งภาพ Doud et al., 2025) 



วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568

ระบบวิชันอัจฉริยะเพิ่มประสิทธิภาพการจับไก่

 เทคโนโลยีนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างสำคัญ ระหว่างการดำเนินงานในฟาร์มสัตว์ปีกกับความต้องการของโรงงานแปรรูป โดยสามารถสร้างตารางการเก็บเกี่ยวที่ช่วยเพิ่มจำนวนสัตว์ปีกให้อยู่ในช่วงน้ำหนักเป้าหมายได้สูงสุด

การวางแผนการเก็บเกี่ยวแบบอัตโนมัติ ที่สามารถตรวจจับและคาดการณ์น้ำหนักเฉลี่ยรวมถึงการกระจายน้ำหนักของไก่ในโรงเรือนต่าง ๆ อาจช่วยลดความจำเป็นในการสุ่มตัวอย่างและชั่งน้ำหนักด้วยมือได้ “ไก่ก็เหมือนมนุษย์ ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งจะหยุดโตแต่ยังคงกินอาหารต่อไป” เรย์ ชิว ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท คาลิกซ์ เทคโนโลยี กล่าว “เทคโนโลยีของเราช่วยระบุช่วงเวลาที่แม่นยำขณะไก่มีน้ำหนักถึงเป้าหมาย ช่วยลดต้นทุนอาหารที่ไม่จำเป็น และเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพสูงสุด”

การติดตั้งแบบพร้อมใช้งาน

เทคโนโลยีนี้ซึ่งผสานการทำงานระหว่างระบบการมองเห็นด้วยคอมพิวเตอร์ และการเรียนรู้ของเครื่อง ช่วยแก้ไขช่องว่างสำคัญระหว่างการดำเนินงานในฟาร์มสัตว์ปีกกับข้อกำหนดของโรงงานแปรรูป โดยสามารถสร้างตารางการจับไก่ที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเพิ่มจำนวนสัตว์ปีกที่มีน้ำหนักอยู่ในช่วงเป้าหมาย และลดจำนวนที่ถูกคัดออก ระบบนี้ต้องการการปรับโครงสร้างพื้นฐานเพียงเล็กน้อย โดยติดตั้งกล้องเพียงสองตัวต่อโรงเรือน สามารถเชื่อมต่อกับการดำเนินงานเดิมได้อย่างราบรื่น แตกต่างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อื่น ๆ ที่มักต้องใช้เวลาปรับเทียบระบบนาน ระบบนี้สามารถเริ่มให้ข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริงตั้งแต่รอบการผลิตแรก ด้วยอัลกอริธึมที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง

“จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือไม่ต้องใช้เวลาวอร์มอัพหรือปรับเทียบระบบ” ชิวอธิบาย “ในขณะที่เทคโนโลยีเอไออื่น ๆ มักต้องให้ผู้ผลิตรอถึง ๖ ถึง ๗ เดือนกว่าจะเห็นผล ระบบของเราสามารถให้ข้อมูลเปรียบเทียบได้ตั้งแต่ฝูงแรก” กล้องถูกออกแบบให้กลมกลืนกับโครงสร้างโรงเรือนเดิมโดยไม่รบกวนกระบวนการทำงาน ช่วยให้เปลี่ยนผ่านสู่การวางแผนการเก็บเกี่ยวแบบอัตโนมัติได้อย่างราบรื่น

ประโยชน์หลักของระบบนี้ อยู่ที่ความสามารถในการกำหนดเวลาการจับไก่ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจและการขาย โดยการระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวอย่างแม่นยำ ผู้ผลิตสามารถเพิ่มจำนวนไก่คุณภาพสูงในแต่ละฝูง พร้อมทั้งลดต้นทุนอาหารที่เกิดจากไก่น้ำหนักเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอกสารอ้างอิง

Doughman E. 2025. Vision system could optimize poultry harvest planning. [Internet]. [Cited 2025 Sep 25]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-future/poultry-tech-summit-news/news/15767902/ai-vision-system-optimizes-poultry-harvest-planning

ภาพที่ ๑ ระบบวิชันอัจฉริยะเพิ่มประสิทธิภาพการจับไก่    (แหล่งภาพ David Tadevosian I Shutterstock.com) 



วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568

ยุโรปเตือนฟาร์มสัตว์ปีกเตรียมรับมือกับไข้หวัดนก

 เมื่อฤดูใบไม้ร่วงผ่านไป เจ้าของฟาร์มสัตว์ปีกในภูมิภาคนี้กำลังได้รับการสนับสนุนเพื่อปกป้องสัตว์ปีกของตนจากเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง  

ก่อนเข้าสู่ฤดูกาลอพยพของนกป่าในยุโรป ได้มีการริเริ่มแคมเปญเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกและเจ้าของฝูงนกในการปกป้องสัตว์ปีกของตนจากเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง เครื่องมือชุด #โนเบิร์ดฟลู ได้รับการเปิดตัวร่วมกันโดยคณะกรรมาธิการยุโรปและสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งยุโรป เพื่อสนับสนุนภาคส่วนการเลี้ยงสัตว์ปีกในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ ชุดเครื่องมือ #โนเบิร์ดฟลูได้รับการเปิดตัวร่วมกันโดยคณะกรรมาธิการยุโรปและสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งยุโรป เพื่อสนับสนุนภาคการเลี้ยงสัตว์ปีกในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ โดยประกอบด้วยสื่อที่ได้รับการแปลเป็นภาษาทุกภาษาของกลุ่มประเทศสมาชิก ชุดเครื่องมือนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามของเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ต่อฝูงสัตว์ปีก พร้อมทั้งให้คำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการด้านชีวอนามัย โดยมุ่งเน้นเป็นพิเศษไปที่เจ้าของฝูงขนาดเล็กและขนาดกลาง จุดเน้นหลักของชุดเครื่องมือคือการปกป้องสุขภาพของสัตว์และมนุษย์ รักษาเสถียรภาพของแหล่งอาหาร และลดผลกระทบต่อการค้าจากการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง

ยอดการระบาดในฟาร์มสัตว์ปีกของยุโรปทะลุ ๒๖๐ ครั้งแล้ว

จนถึงขณะนี้ในปีนี้ จำนวนการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ในสัตว์ปีกเชิงพาณิชย์ได้เพิ่มขึ้นเป็น ๒๖๓ ครั้ง โดยตัวเลขนี้ครอบคลุมกรณีใน ๒๐ ประเทศ ตามข้อมูลล่าสุดจากระบบข้อมูลโรคสัตว์ของคณะกรรมาธิการยุโรป ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ฐานข้อมูลนี้ใช้ติดตามโรคสัตว์ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปและบางประเทศใกล้เคียงที่ได้รับการคัดเลือก เพื่อเปรียบเทียบ ในปี พ.ศ.๒๕๖๗ ทั้งปี มีการลงทะเบียนการระบาดในประชากรกลุ่มนี้กับระบบของอีซี รวมทั้งสิ้น ๔๕๑ ครั้ง จาก ๒๐ ประเทศเช่นกัน ประเทศที่มีจำนวนการระบาดสูงสุดในปี พ.ศ.๒๕๖๘ ได้แก่ ฮังการี (๑๐๕ ครั้ง) โปแลนด์ (๘๕ ครั้ง) และอิตาลี (๒๑ ครั้ง) โดยแทบทุกกรณีมีความเชื่อมโยงกับเชื้อไวรัสไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูงสายพันธุ์เอช ๕ เอ็น ๑ ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน มีการยืนยันการระบาดในฟาร์มเชิงพาณิชย์ ๓ แห่งในประเทศสเปน และ ๒ แห่งในเยอรมนี นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกการระบาดในฟาร์มครั้งแรกของปี พ.ศ.๒๕๖๘ ในประเทศนอร์เวย์อีกด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ได้รับการรายงานอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานด้านสุขภาพสัตว์แห่งชาติไปยังองค์การสุขภาพสัตว์โลก จนถึงขณะนี้ในเดือนนี้ มีการตรวจพบเชื้อไวรัส เอช ๕ เอ็น ๑  ในสัตว์ปีกที่ฟาร์มสัตว์ปีก ๔ แห่งในประเทศสเปน สองแห่งตั้งอยู่ในแคว้นอันดาลูเซียทางตอนใต้สุดของประเทศ และอีกสองแห่งอยู่ในแคว้นกัสติยาและเลออนทางตะวันตกเฉียงเหนือ โดยพื้นที่หลังนี้เป็นที่ตั้งของฝูงสัตว์ปีกขนาดใหญ่ที่สุดที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสเอช ๕ เอ็น ๑ ในสเปนจนถึงขณะนี้ประกอบด้วยแม่ไก่ไข่มากกว่า ๗๖๑,๐๐๐ ตัว

หลังจากช่วงเวลาที่โรคสงบลง เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดิมได้ถูกตรวจพบอีกครั้งในประเทศโปรตุเกส โดยฟาร์มที่ได้รับผลกระทบมีเป็ดเนื้อมากกว่า ๒๕๗,๐๐๐ ตัว ตั้งอยู่ในภูมิภาคซานตาเรมทางตอนกลาง-ตะวันตกของประเทศ ขณะเดียวกัน โรคดังกล่าวก็กลับมาระบาดอีกครั้งในภูมิภาคทางตอนเหนือของประเทศเยอรมนี ได้แก่ เมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอเมิร์น และชเลสวิก-โฮลชไตน์ ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน สถานการณ์โรคในสหราชอาณาจักรไม่ได้อยู่ในระบบข้อมูลของคณะกรรมาธิการยุโรป การระบาดล่าสุดในสถานประกอบการเชิงพาณิชย์ได้รับการยืนยันเมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยมีนกฟ้า ประมาณ ๔๐๐ ตัวได้รับผลกระทบในมณฑลเดวอน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ

ความคืบหน้าเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ในกลุ่มนกอื่น ๆ ในยุโรป

ในฐานข้อมูลโรคสัตว์ของคณะกรรมาธิการยุโรป มีหมวดแยกต่างหากสำหรับการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ที่ส่งผลกระทบต่อนกที่ถูกเลี้ยงไว้ ซึ่งครอบคลุมถึงสัตว์ปีกในครัวเรือน/งานอดิเรก และนกในสวนสัตว์ ณ วันที่ ๑๗ กันยายน มี ๑๘  ประเทศที่ได้ลงทะเบียนการระบาดในประชากรกลุ่มนี้รวมทั้งสิ้น ๗๖ ครั้ง รวมถึงการระบาดล่าสุดในประเทศสเปน ตามข้อมูลอัปเดตล่าสุดของฐานข้อมูล มี ๓๑ ประเทศที่ร่วมกันบันทึกการระบาดในนกป่ารวมทั้งสิ้น ๖๙๕ ครั้งในปี พ.ศ.๒๕๖๘ โดยครอบคลุมเชื้อไวรัสทุกสายพันธุ์

ตลอดทั้งปี พ.ศ.๒๕๖๗ มีรายงานการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ในประชากรกลุ่มนี้รวมทั้งสิ้น ๙๒๖ ครั้ง จาก ๓๒ ประเทศ ไปยังคณะกรรมาธิการยุโรป ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานการระบาดเพิ่มเติมในสัตว์ป่าจำนวนเล็กน้อยผ่านฐานข้อมูล โดยพบผลตรวจเป็นบวกต่อไวรัสเอช ๕ (ยังไม่ระบุชนิดย่อยเอ็น) ในประเทศฝรั่งเศสและนอร์เวย์ ส่วนในเยอรมนี นอร์เวย์ โปรตุเกส และสเปน มีรายงานกรณีเพิ่มเติมที่เชื่อมโยงกับสายพันธุ์เอช ๕ เอ็น ๑ ในสัตว์ป่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จำนวนสัตว์ป่วยในประเทศสเปนได้เกิน ๒๕๐ ตัวแล้ว ในการประชุมล่าสุด เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้เสนอแนวทางสนับสนุนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูงแบบคัดเลือกสำหรับสัตว์ปีก โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสได้ดำเนินโครงการให้วัคซีนแบบบังคับ ซึ่งจำกัดเฉพาะฟาร์มเป็ดเชิงพาณิชย์เท่านั้น

เอกสารอ้างอิง

Linden J. 2025. Europe’s poultry farmers urged to prepare for avian flu. [Internet]. [Cited 2025 Sep 24]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-meat/diseases-health/avian-influenza/news/15767794/europes-poultry-farmers-urged-to-prepare-for-avian-flu

ภาพที่ ๑ ยุโรปเตือนฟาร์มสัตว์ปีกเตรียมรับมือกับไข้หวัดนก  (แหล่งภาพ Kharhan | Bigstock) 



วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2568

ฤดูหวัดนกเริ่มเร็วกว่าปกติในเกาหลีใต้

 ขณะที่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่มเติมในอินเดียและไต้หวัน สถานการณ์โรคในฟิลิปปินส์และเวียดนามดูเหมือนจะดีขึ้น

ฟาร์มสัตว์ปีกป่วยรายแรกของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เกิดขึ้นแล้วในประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนกันยายน มีการสงสัยว่ามีการระบาดของโรคที่ฟาร์มสัตว์ปีกแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของกรุงโซล ตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮับ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การระบาดครั้งแรกในสัตว์ปีกเชิงพาณิชย์ของประเทศมักเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ได้เริ่มตรวจสอบสุขภาพของสัตว์ปีกและมาตรการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มทั่วประเทศ ไม่นานหลังจากมีข้อสงสัยเบื้องต้น กระทรวงเกษตรได้ยืนยันว่ามีการพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกชนิดรุนแรง สายพันธุ์ เอช ๕ เอ็น ๑ ในสถานที่ดังกล่าว โดยฝูงไก่พื้นเมืองประมาณ ๓,๑๐๐ ตัวที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเขตพาจู จังหวัดคยองกีทางตะวันตกเฉียงเหนือได้รับผลกระทบ หลังจากการยืนยันนี้ กระทรวงได้ประกาศคำสั่งหยุดการขนส่งที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ปีกทั่วประเทศเป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมงทันที

การระบาดครั้งนี้มีความเชื่อมโยงกับการมาถึงของนกป่าที่อพยพกลุ่มแรก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีบทบาทในการแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ทางการเกาหลีใต้ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า การระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงในช่วงปี พ.ศ.๒๕๖๗ ถึง ๒๕๖๘ ได้ “สิ้นสุดลง” แล้ว  ระหว่างช่วงปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้วจนถึงวันที่ ๒๖ มิถุนายนปีนี้ มีการยืนยันการระบาดจำนวน ๕๐ ครั้งที่เกี่ยวข้องกับไวรัสไข้หวัดนกชนิดรุนแรง สายพันธุ์เดียวกันต่อองค์การสุขภาพสัตว์โลก โดยหน่วยงานด้านสุขภาพสัตว์ของเกาหลีใต้ สัตว์ปีกของประเทศมากกว่า ๒.๔๙ ล้านตัวได้รับผลกระทบโดยตรงจากการตายและการทำลายทิ้ง

ไข้หวัดนกในสัตว์ปีกในภูมิภาคอื่นของเอเชีย

ไต้หวัน เมื่อต้นเดือนนี้ ทางการไต้หวันได้แจ้งต่อองค์การสุขภาพสัตว์โลก ว่ามีการระบาดเพิ่มเติมอีกสองกรณีที่เกี่ยวข้องกับไวรัสไข้หวัดนกชนิดรุนแรง เอช ๕ เอ็น ๑ การระบาดเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนกกระทาไข่มากกว่า ๒๑๐,๐๐๐ ตัวในหลายพื้นที่ของเขตฉางฮัว ทำให้จำนวนการระบาดที่ได้รับการยืนยันในพื้นที่นี้เพิ่มเป็นสามครั้ง นับตั้งแต่ไวรัสกลับมาระบาดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม

อินเดีย มีรายงานจากสถานีโทรทัศน์ว่า การตายของสัตว์ปีกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐโอริสสาทางตะวันออกของอินเดียมีความเชื่อมโยงกับโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ไก่ประมาณ ๓๐๐ ตัวตายอย่างกะทันหันที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเขตจากัตสิงห์ปูร์ การระบาดก่อนหน้านี้สองครั้งที่เกี่ยวข้องกับไวรัสสายพันธุ์ เอช ๕ เอ็น ๑ ในรัฐโอริสสาได้รับการบันทึกไว้กับองค์การสุขภาพสัตว์โลก โดยเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม และเกิดขึ้นที่ฟาร์มเชิงพาณิชย์ในเขตคอร์ดาและปูรี

ฟิลิปปินส์ การระบาดล่าสุดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ในสัตว์ปีกเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของโรค ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่ใน ๔ พื้นที่บนเกาะลูซอน ได้แก่ เขตบริหารคอร์ดิเลรา ภาคกลางของลูซอน ภาคคาลาบาร์ซอน และกรุงมะนิลา ตามข้อมูลล่าสุดจากสำนักอุตสาหกรรมสัตว์ของกระทรวงเกษตร เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน โดยสถานการณ์โรคในภูมิภาคบีโคลดูเหมือนจะได้รับการแก้ไขแล้วในช่วงไม่นานมานี้

เวียดนาม ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หน่วยงานสัตวแพทย์ของประเทศเวียดนามได้ประกาศต่อองค์การสุขภาพสัตว์โลกว่าสถานการณ์โรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงได้ “สิ้นสุดลง” แล้ว คำประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานการระบาดเพียงครั้งเดียวในช่วงต้นเดือนเมษายน ส่งผลกระทบต่อสัตว์ปีกจำนวนไม่ระบุแน่ชัด โดยมีการทำลายสัตว์ปีกในครัวเรือนประมาณ ๓,๕๐๐ ตัวที่สถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดกว๋างจิ หลังจากตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกชนิดรุนแรง เอช ๕ เอ็น ๑ จังหวัดกว๋างจิตั้งอยู่ในภูมิภาคชายฝั่งตอนเหนือของประเทศเวียดนาม

พบผู้ป่วยเพิ่มในมนุษย์จากกัมพูชาและจีน

ในประเทศกัมพูชา องค์การอนามัยโลก รายงานว่า เด็กหญิงวัย ๑๔ ปีได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอ เอช ๕ เอ็น ๑ ที่มีต้นกำเนิดจากสัตว์ปีกเมื่อต้นเดือนนี้ เธอเป็นชาวจังหวัดตาแก้ว และมีรายงานว่าเคยสัมผัสกับสัตว์ปีกมาก่อน จนถึงขณะนี้ มีการยืนยันผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในมนุษย์แล้ว ๑๕ รายในประเทศกัมพูชาตลอดปีนี้ ขณะเดียวกัน มีการยืนยันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอ เอช ๙ เอ็น ๒  ที่ผ่านการตรวจในห้องปฏิบัติการจำนวน ๔ รายล่าสุดในประเทศจีน

ตามรายงานของศูนย์ป้องกันสุขภาพฮ่องกง ผู้ป่วยทั้งสี่รายล่าสุดเป็นเด็กชายอายุระหว่าง ๑  ถึง ๖  ปี โดยเริ่มมีการติดเชื้อในช่วงระหว่างวันที่ ๒๘ กรกฎาคมถึง ๒๑ สิงหาคม ผู้ป่วยแต่ละรายอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างกัน ได้แก่ มณฑลอันฮุย หูหนาน เสฉวน และเทศบาลนครฉงชิ่ง การติดเชื้อเหล่านี้ทำให้จำนวนผู้ป่วยในมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับไวรัสชนิดนี้ในประเทศจีนในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น ๑๙  ราย

เอกสารอ้างอิง

Linden J. 2025. Avian flu season starts early in South Korea. [Internet]. [Cited 2025 Sep 23]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-meat/diseases-health/avian-influenza/news/15756049/avian-flu-season-starts-early-in-south-korea

ภาพที่ ๑ ฟาร์มสัตว์ปีกป่วยรายแรกของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เกิดขึ้นแล้วในประเทศเกาหลีใต้ (แหล่งภาพ Badboo | Bigstock) 



วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2568

พลาสมาแทนที่สารเคมีที่ใช้ในกระบวนการแปรรูปสัตว์ปีก

 เทคโนโลยีนี้สามารถเป็นแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้นในการกำจัดเชื้อโรคในงานอุตสาหกรรม

เทคโนโลยีพลาสมาทำงานภายใต้อุณหภูมิห้องสามารถช่วยต่อสู้กับเชื้อซัลโมเนลลา ลิสทีเรีย และแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเน่าเสียอื่น ๆ ในกระบวนการแปรรูปสัตว์ปีก โดยเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการใช้สารเคมีฆ่าเชื้อในอุตสาหกรรม เทคโนโลยีนี้มีข้อได้เปรียบอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการแปรรูปสัตว์ปีกที่ต้องการลดการใช้สารเคมีโดยยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารไว้ได้ ในฐานะที่เป็นทางเลือกแบบไม่ใช้ความร้อนและไม่ใช้สารเคมี พลาสมาอุณหภูมิห้องจึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ฉลากสะอาดและกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน

ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของเทคโนโลยีนี้มีมากกว่าการลดการใช้สารเคมี โรงงานแปรรูปที่ใช้พลาสมาในน้ำสามารถลดความจำเป็นในการบำบัดน้ำเสียได้ เนื่องจากสารออกฤทธิ์ในพลาสมาช่วยทำความสะอาดน้ำไปในตัว ผลลัพธ์สองด้านนี้ ทั้งการลดเชื้อโรคและการบำบัดน้ำ สามารถช่วยลดต้นทุนได้อย่างมากสำหรับการดำเนินงานในระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ “อุตสาหกรรมสัตว์ปีกมองหาทางเลือกในการลดสารเคมีอยู่เสมอ เพราะผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีสารเติมแต่งน้อยลงและฉลากสะอาด” แคเธอรีน โซเฟีย เซียร์รา เมเลนเดรซ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยออเบิร์น กล่าว “การใช้พลาสมาช่วยให้เราลดการใช้สารเคมีได้ พร้อมกับนำเทคโนโลยีที่ยั่งยืนมาใช้”

ในการประชุม การประชุมสุดยอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์ปีกปี พ.ศ.๒๕๖๘ แคเธอรีน โซเฟีย เซียร์รา เมเลนเดรซ จะนำเสนอแนวทางการใช้เครื่องสร้างพลาสมาอุณหภูมิห้องเพื่อช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์บนผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ลดต้นทุน และลดปริมาณอาหารที่สูญเปล่า การประชุมครั้งนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓ ถึง ๕ พฤศจิกายนนี้  ณ โรงแรม โรงแรมแอตแลนตาแอร์พอร์ตแมริออท เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย จะเป็นเวทีรวมตัวของนักประดิษฐ์ นักวิจัย ผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสัตว์ปีก และผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง เพื่อร่วมกันหารือถึงความท้าทายและแนวทางแก้ไขในทุกด้านของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสัตว์ปีก

การขยายการใช้พลาสมาในกระบวนการแปรรูปสัตว์ปีก

พลาสมา มักถูกเรียกว่าเป็นสถานะที่สี่ของสสารควบคู่กับของแข็ง ของเหลว และก๊าซ โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นที่อุณหภูมิสูงมาก เช่นในดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาวิธีสร้างพลาสมาในอุณหภูมิห้อง โดยการนำก๊าซใด ๆ เช่น ฮีเลียม ไนโตรเจน อาร์กอน หรือแม้แต่เพียงอากาศ มาผสมกับแหล่งพลังงานไฟฟ้า กระบวนการนี้จะสร้างอนุพันธ์ออกซิเจนและไนโตรเจนที่มีฤทธิ์ หรืออาร์โอเอส และเอ็นโอเอส สามารถทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ทำให้เกิดการรั่วไหล และก่อให้เกิดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ทำลายดีเอ็นเอของเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

อุปกรณ์สร้างพลาสมามีตั้งแต่ขนาดเล็กแบบมือถือเท่าปากกา ไปจนถึงเครื่องจักรขนาดใหญ่ระดับอุตสาหกรรม สำหรับการประยุกต์ใช้ในกระบวนการแปรรูปสัตว์ปีก เซียร์รา เมเลนเดรซ มองเห็นแนวทางการนำเทคโนโลยีนี้ไปผสานเข้ากับระบบทำความเย็นที่มีอยู่ โดยใช้ “น้ำที่ถูกกระตุ้นด้วยพลาสมา” เป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้สามารถบำบัดในปริมาณมากได้ เหมาะกับการใช้งานในระดับอุตสาหกรรม

“เราสามารถกระตุ้นน้ำด้วยพลาสมา น้ำที่ได้จะมีสารออกฤทธิ์ชนิดเดียวกัน” เธออธิบาย “น้ำที่ถูกกระตุ้นนี้สามารถนำไปใช้ในระบบทำความเย็น หรือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการฆ่าเชื้อหลังจากการล้างในโรงงานแปรรูปได้”

แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมากในการสร้างพลาสมาในปริมาณมาก แต่การพัฒนาระบบน้ำที่ถูกกระตุ้นด้วยพลาสมาได้ช่วยให้การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรมเป็นไปได้ง่ายขึ้นและคุ้มค่ามากขึ้น สำหรับผู้ประกอบการแปรรูปสัตว์ปีกที่กำลังมองหาแนวทางใหม่ในการควบคุมเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

เอกสารอ้างอิง

Doughman E. 2025. Plasma could replace poultry processing chemicals. [Internet]. [Cited 2025 Sep 18]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-future/poultry-tech-summit-news/news/15755790/roomtemperature-plasma-future-of-poultry-sanitation

ภาพที่ ๑ เทคโนโลยีพลาสมาทำงานภายใต้อุณหภูมิห้องสามารถช่วยต่อสู้กับเชื้อซัลโมเนลลา ลิสทีเรีย และแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเน่าเสียอื่น ๆ ในกระบวนการแปรรูปสัตว์ปีก  (แหล่งภาพ Maksymenko Nataliia | istock.com) 






วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568

วัคซีนหวัดนก เสียงสะท้อนจากฝรั่งเศสสู่เวทีโลก

 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้พิจารณาต้นทุนที่เกิดขึ้นทันทีจากสถานการณ์ไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ในประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่อาจได้รับในด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการค้า หากมีการดำเนินการให้วัคซีน

ความเหมาะสมของการให้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรง นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่สำหรับฝรั่งเศสแล้ว ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เบเนดิกต์ เบอนอลต์ ที่ปรึกษาด้านการเกษตรในประเด็นสุขอนามัยและสุขพืช ประจำสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ณ ประเทศบราซิล กล่าวเบอนอลต์กล่าวถึงการตัดสินใจของฝรั่งเศสในการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับเป็ดเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ระหว่างการประชุมเชิงวิชาการ “ร่วมกันรับมือไข้หวัดนกชนิดรุนแรง” ซึ่งจัดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองฟอซดูอีกวาซู ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ ๙ ถึง ๑๑ กันยายน เพื่อให้มั่นใจว่าการฉีดวัคซีนมีความเหมาะสมและสามารถดำเนินการได้จริง เบเนดิกต์ เบอนอลต์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพสัตว์ของฝรั่งเศสและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมได้ร่วมกันวิเคราะห์ต้นทุนที่เกิดขึ้นทันทีจากสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงในประเทศ จากนั้นจึงเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการค้าซึ่งอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของฝรั่งเศสอาจได้รับหากมีการดำเนินการให้วัคซีน เบอนอลต์ระบุว่า ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๙ ถึง พ.ศ.๒๕๖๖ มีสัตว์ปีกสูญเสียไปประมาณ ๔๐ ล้านตัว โดยมีค่าใช้จ่ายในการชดเชยและเยียวยาความเสียหายรวมราว ๗ หมื่นล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้สำหรับการรณรงค์ฉีดวัคซีนจริงอยู่ที่ประมาณ ๓.๗ พันล้านบาท ครอบคลุมทั้งค่าวัคซีน ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการและการเฝ้าระวังโรค

“เรายังต้องคำนึงถึงประโยชน์อื่น ๆ ด้วย ทั้งต่อสัตว์ ต่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกร สัตวแพทย์ และหน่วยงานด้านสัตวแพทย์” เบอนอลต์กล่าว เธอระบุว่า ฝรั่งเศสทราบดีว่าการดำเนินโครงการให้วัคซีนอาจส่งผลให้สูญเสียบางส่วนของตลาดส่งออก แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องส่วนใหญ่รู้สึกพึงพอใจและเห็นว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

“แน่นอนว่าเราต้องยอมรับความเสี่ยงด้านการส่งออกและความเป็นไปได้ที่ตลาดบางส่วนจะถูกปิด แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมดแล้ว เรารู้ว่าฝรั่งเศสมีสิ่งที่ได้มากกว่าสิ่งที่เสีย” เบอนอลต์กล่าว

เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า หากประเทศอื่นต้องการพิจารณาดำเนินโครงการฉีดวัคซีนป้องกัน HPAI “สิ่งสำคัญที่จะทำให้ยุทธศาสตร์นี้ประสบความสำเร็จ คือกระบวนการปรึกษาหารือ” ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศส ก่อนจะมีการตัดสินใจ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการขึ้น โดยมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม ได้แก่ เกษตรกร ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ คู่ค้าทางธุรกิจ และผู้แทนจากคณะกรรมาธิการยุโรป

ด้วยการมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลากหลายกลุ่ม เบอนอลต์กล่าวว่า ฝรั่งเศสสามารถเรียนรู้ “ข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละภาคส่วน ช่วยเสริมสร้างความชอบธรรมให้กับการให้วัคซีน” และ “เอื้อต่อการยอมรับของเกษตรกร”

เอกสารอ้างอิง

Graber R. 2025. France’s call to vaccinate for HPAI required much thought, consultation. [Internet]. [Cited 2025 Sep 16]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-meat/diseases-health/avian-influenza/news/15755589/frances-call-to-vaccinate-for-hpai-required-much-thought-consultation

ภาพที่ ๑ ภายในเวลาเจ็ดปี สัตว์ปีกสูญเสียไปประมาณ ๔๐ ล้านตัว มีค่าใช้จ่ายในการชดเชยและเยียวยาความเสียหายรวมราว ๗ หมื่นล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้สำหรับการรณรงค์ฉีดวัคซีนจริงอยู่ที่ประมาณ ๓.๗ พันล้านบาท (แหล่งภาพ SkazouD | Bigstock) 



วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

 ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน

หลายประเทศยังคงลังเลที่จะดำเนินโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกชนิดรุนแรง เนื่องจากความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้า ดร.เดวิด สเวย์น ที่ปรึกษาจาก สถาบันสัตวแพทย์เฉพาะทางโรคไข้หวัดนก กล่าวว่า ทัศนคติแบบนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยเขาได้กล่าวในเวทีเสวนาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายใต้หัวข้อ “ร่วมกันรับมือไข้หวัดนกชนิดรุนแรง” ซึ่งจัดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองฟอซ โด อิกวาซู ประเทศบราซิล

หนึ่งในข้อกังวลหลักเกี่ยวกับผลกระทบทางการค้า คือความกลัวว่าสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกอาจมีการสัมผัสกับเชื้อไวรัสผ่านกระบวนการฉีดวัคซีน อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากประเทศที่มีการฉีดวัคซีนจะเป็นพาหะนำเชื้อเข้าสู่ประเทศผู้นำเข้า ในระหว่างการประชุม มีผู้เข้าร่วมคนหนึ่งตั้งคำถามกับคณะผู้เสวนาว่า ความกลัวเหล่านี้มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ และเคยมีกรณีที่ไข้หวัดนกชนิดรุนแรง แพร่จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งโดยมีสาเหตุจากการฉีดวัคซีนหรือไม่ ดร.เดวิด สเวย์นได้อาสาตอบคำถามนี้ด้วยตนเอง

“เท่าที่ผมทราบ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากประเทศที่มีการให้วัคซีนจะเป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อไวรัส” ดร. เดวิด สเวย์น กล่าว เขาย้ำถ้อยคำที่เคยกล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๖๗ ในการประชุมมาตรฐานชีววิทยาเชิงระหว่างประเทศ ว่าด้วยการเฝ้าระวังสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

“เราจำเป็นต้องทบทวนคำศัพท์ที่เราใช้เกี่ยวกับการให้วัคซีน เพราะในความเป็นจริง การให้วัคซีนทำให้สัตว์ปีกมีความต้านทานต่อการติดเชื้อสูงมาก และด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนจึงปลอดภัยกว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน เพราะคุณได้ทำให้พวกมันมีภูมิต้านทาน ไม่ว่าจะเป็นไก่ ไก่งวง หรือแม่ไก่ไข่” สเวย์นกล่าว

“เราจำเป็นต้องเปลี่ยนกรอบความคิดครั้งใหญ่ เพราะผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนนั้นปลอดภัยกว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน เนื่องจากโอกาสที่พวกมันจะติดเชื้อมีน้อยกว่ามาก”

ดร.เดวิด สเวย์น เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการและนักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการวิจัยสัตว์ปีกภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ สังกัดกระทรวงวิจัยการเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา  เมืองเอเธนส์ รัฐจอร์เจีย กล่าวว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนนั้นมีรากฐานมาจากการศึกษาประสิทธิภาพทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการศึกษาที่ใช้สำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ มากกว่าการศึกษาทางชีววิทยาในภาคสนาม

เขากล่าวว่า ในการศึกษาสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ จำเป็นต้องใช้การทดสอบด้วยปริมาณเชื้อสูง ในสถานการณ์เช่นนั้น “บางครั้งอาจพบการเพิ่มจำนวนของไวรัสและการแพร่กระจายออกจากตัวสัตว์” อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า ผลลัพธ์ที่พบในการทดลองด้วยปริมาณเชื้อสูงนั้น ไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนในภาคสนาม

เอกสารอ้างอิง

Graber R. 2025. Fears of importing vaccinated poultry based on misconceptions. [Internet]. [Cited 2025 Sep 15]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-meat/diseases-health/avian-influenza/news/15755405/fears-of-importing-vaccinated-poultry-based-on-misconceptions

ภาพที่ ๑ เปลี่ยนกรอบความคิดสัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่ได้รับวัคซีน (แหล่งภาพ USPOULTRY) 



วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568

ภัยโลกร้อน!!! อุปสรรคใหม่คุมหวัดนกในออสเตรเลีย

 สภาพอากาศสุดขั้วที่มีฝนตกหนัก พื้นที่ที่เคยแห้งแล้งอาจกลายเป็นแหล่งน้ำชื้น ดึงดูดนกป่าที่อาจเป็นพาหะนำไวรัสเข้ามาในพื้นที่

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจไม่ใช่คำที่ถูกกล่าวถึงบ่อยนักในการสนทนาเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัจจัยนี้อาจมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันไม่ให้ฝูงสัตว์ปีกติดเชื้อไวรัส ดร.โรบิน ออลเดอร์ส สัตวแพทย์และศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ขณะอธิบายสถานการณ์ในประเทศออสเตรเลีย โดยออลเดอร์สเป็นหนึ่งในวิทยากรของเวทีเสวนา “ร่วมกันรับมือไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง” จัดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองฟอซ โด อิกวาซู ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ ๙ ถึง ๑๑ กันยายน

ออสเตรเลียสามารถหลีกเลี่ยงการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ได้จนถึงเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.๒๕๖๗ ก่อนที่ประเทศจะพบการติดเชื้อในฝูงสัตว์ปีก โดยมีหนึ่งฝูงติดเชื้อสับไทป์เอช ๗ เอ็น ๙  สี่ฝูงติดเชื้อเอช ๗ เอ็น ๘ และเจ็ดฝูงติดเชื้อเอช ๗ เอ็น ๓ หนึ่งในปัจจัยสำคัญตามที่ ดร.โรบิน ออลเดอร์สระบุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศทำให้ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกควบคุมไม่ให้นกป่าที่อาจเป็นพาหะนำไวรัสเข้าใกล้ฝูงสัตว์ได้ยากขึ้น

ในปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมและผู้ผลิตสัตว์ปีกรายใหญ่ให้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดวางพื้นที่ฟาร์มให้ห่างจากแหล่งน้ำชื้นหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ” เธอกล่าว “แต่ความท้าทายที่ออสเตรเลียกำลังเผชิญคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เรากำลังเผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วบ่อยครั้งมากขึ้น และเมื่อเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องหลายปี พื้นที่ที่นกป่ามองว่าเป็นแหล่งน้ำชุ่มก็เปลี่ยนไป ทำให้การกระจายตัวของนกป่าก็เปลี่ยนตามไปด้วย เนื่องจากมีพื้นที่ที่พวกมันมองว่าเหมาะสมสำหรับอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น”

เตือนการให้อาหารสัตว์

ตามข้อมูลของออลเดอร์ส ฟาร์มสัตว์ปีกที่ได้รับผลกระทบจากโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง ในออสเตรเลียส่วนใหญ่เป็นฟาร์มแบบปล่อยเลี้ยง การวางจุดให้อาหารในฟาร์มเหล่านี้อาจเพิ่มโอกาสที่สัตว์ป่าที่อาจติดเชื้อจะเข้ามาสัมผัสกับฝูงสัตว์ปีก “การเลือกวางอาหารในตำแหน่งที่สัตว์ป่าเข้าไม่ถึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ก็ยังคงเป็นความท้าทายอยู่” เธอกล่าว

ออสเตรเลียปลอดโรคไข้หวัดนกในปัจจุบัน

องค์การสุขภาพสัตว์โลก ระบุว่า ขณะนี้ไม่มีรายงานการระบาดของโรคในออสเตรเลีย โดยสถานการณ์การติดเชื้อเอช ๗ เอ็น ๙ ในสัตว์ปีกเชิงพาณิชย์ได้รับการแก้ไขแล้วในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๗ ส่วนการระบาดของเอช ๗ เอ็น ๓ และเอช ๗ เอ็น ๘ ได้รับการแก้ไขในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๖๘

อย่างไรก็ตาม เอช ๗ เอ็น ๘ ได้กลับมาระบาดอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ โดยพบในฝูงสัตว์ปีก ๔ แห่งในออสเตรเลีย แต่สถานการณ์ดังกล่าวได้รับการควบคุมและได้รับการแก้ไขแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

เอกสารอ้างอิง

Graber R. 2025. How climate change hurts fight against avian flu in Australia. [Internet]. [Cited 2025 Sep 11]. Available from: https://www.wattagnet.com/blogs/agrifood-angle/blog/15755184/how-climate-change-hurts-fight-against-avian-flu-in-australia

ภาพที่ ๑ พื้นที่ที่เคยแห้งแล้งอาจกลายเป็นแหล่งน้ำชื้น ดึงดูดนกป่าที่อาจเป็นพาหะนำไวรัสเข้ามาในพื้นที่ (แหล่งภาพ ZambeziShark | Bigstock)  






วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

องค์การอาหารแนะหกขั้นภาครัฐรับมือหวัดนก

 ผู้เข้าร่วมเวทีประชุมองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ได้ร่วมกันระดมความคิดและจัดทำข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการรับมือกับการระบาดของไข้หวัดนกอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้เข้าร่วมการประชุมระดับโลกว่าด้วยไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง หรือเอชพีเอไอ ได้ร่วมกันระดมความคิดและจัดทำข้อเสนอแนะ ๖ แนวทางที่หน่วยงานภาครัฐทั่วโลกสามารถนำไปใช้เพื่อรับมือกับการระบาดของเอชพีเอไอ อย่างรวดเร็ว ในการประชุมสามวันภายใต้หัวข้อ “ร่วมกันรับมือไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง” จัดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองฟอซ โด อิกวาซู ประเทศบราซิล ผู้เข้าร่วมได้แบ่งกลุ่มอภิปรายในช่วงบ่ายของวันที่ ๑๐ กันยายน และในเช้าวันถัดมา แกรี ฟลอรี ผู้ก่อตั้งโครงการป้องกันและควบคุมโรคระบาดโลก ได้อ่านข้อสรุปบางส่วนที่ได้จากการระดมความคิดเห็นของแต่ละกลุ่ม หนึ่งในข้อเสนอที่แกรี ฟลอรีนำเสนอเกี่ยวข้องกับบทบาทของรัฐบาลในการรับมืออย่างรวดเร็วต่อการระบาด โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

๑.     การเข้าถึงงบประมาณฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว “เมื่อเกิดการระบาดขึ้น ไม่ใช่เวลาที่เราจะเริ่มค้นหางบประมาณเพื่อรับมือ” ฟลอรีกล่าว “เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” โดยเสนอว่า รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน และควรทำให้กองทุนเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุจำเป็น

๒.    การสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ควรกำหนดแนวทางปฏิบัติ และจัดตั้งทีมเฉพาะสำหรับการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภายใน เพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างราบรื่น ฟลอรีกล่าวว่า การใช้ระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ดียิ่งขึ้น และเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

๓.    บุคลากรและทีมตอบสนองที่ผ่านการฝึกอบรม บุคลากรที่มีหน้าที่รับมือกับการระบาดจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม และการฝึกอบรมเหล่านั้นควรดำเนินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ตอบสนอง เช่น สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น มีความคุ้นเคยกับภารกิจที่ต้องปฏิบัติ นอกจากนี้ การจัดการฝึกซ้อมและจำลองสถานการณ์จริงก็มีความสำคัญ เพื่อให้บุคลากรเหล่านั้นสามารถนำทักษะที่ได้รับจากการอบรมและฝึกภาคปฏิบัติไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง

๔.    การจัดซื้อและการสำรองอุปกรณ์ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และเครื่องมือจำเป็นอื่น ๆ ไม่เพียงแต่ต้องมีพร้อมใช้งานเท่านั้น แต่ยังต้องได้รับการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ หน่วยงานภาครัฐควรจัดทำข้อตกลงระยะยาวเพื่อให้สามารถจัดซื้ออุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการระบาด

๕.    การใช้เทคโนโลยีข้อมูล มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการนำเทคโนโลยีข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาการวินิจฉัยโรค หรือเพื่อการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์ในลักษณะรวมศูนย์

๖.     การมีส่วนร่วมของชุมชน รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจกับชุมชนผ่านการรณรงค์ด้านการศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้ โดยสามารถเผยแพร่ข้อความเหล่านี้ผ่านโรงเรียน โบสถ์ ผู้นำท้องถิ่น และหน่วยส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์

เอกสารอ้างอิง

Graber R. 2025. 6 ways governments can aid with rapid response to HPAI. [Internet]. [Cited 2025 Sep 10]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-meat/diseases-health/avian-influenza/news/15755092/6-ways-governments-can-aid-with-rapid-response-to-hpai

ภาพที่ ๑ การใช้สเปกโตรเมทรีอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการควบคุมสุขาภิบาลในกระบวนการผลิตสัตว์ปีก (แหล่งภาพ DH Saragih I Shutterstock.com)



วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568

พลิกโฉมสุขาภิบาลโรงงานสัตว์ปีกด้วยสเปกโตรเมทรี

 อุปกรณ์แบบพกพาที่ใช้ระบบแมชชีนเลิร์นนิงในการตรวจจับสิ่งปนเปื้อนบนพื้นผิว ให้ค่าการวัดความสะอาดที่แม่นยำมากกว่าวิธีการตรวจสอบที่ใช้อยู่ในโรงงานปัจจุบัน

เครื่องสเปกโตรมิเตอร์แบบพกพาที่ใช้การวัดสีและการเรืองแสง สามารถตรวจจับการปนเปื้อนอินทรีย์จากสัตว์ปีกบนพื้นผิวสัมผัสอาหารได้อย่างรวดเร็ว อาจเปลี่ยนแปลงวิธีการตรวจสอบความสะอาดของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารอย่างสิ้นเชิง “เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์ปีกในกระบวนการตรวจสอบความสะอาด” คลาร์ก กริสคอม นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ กล่าว

วิธีการตรวจสอบความสะอาดในปัจจุบัน ยังคงพึ่งพาการตรวจสอบด้วยสายตาและการเก็บตัวอย่างด้วยไม้สวอบ แบบดั้งเดิม ใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้ผล นอกจากนี้ วิธีเหล่านี้มักไม่สามารถตรวจพบการปนเปื้อนตกค้างที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของน้ำยาฆ่าเชื้อได้อย่างแม่นยำ

การวัดความสะอาดที่แม่นยำ

เครื่องสเปกโตรโฟโตมิเตอร์แบบวัดสี สามารถแยกแยะความแตกต่างของสีบนพื้นผิวที่บ่งชี้ถึงการปนเปื้อนได้อย่างละเอียด ขณะที่เครื่องไบโอฟลูออโรมิเตอร์สามารถตรวจจับกรดอะมิโนและสารเรืองแสงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคราบอินทรีย์ ด้วยความสามารถของระบบแมชชีนเลิร์นนิง อุปกรณ์นี้สามารถประเมินระดับเปอร์เซ็นต์ของการปนเปื้อนบนพื้นผิวได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับข้อมูลเชิงปริมาณเกี่ยวกับความสะอาด แทนที่จะพึ่งพาการประเมินแบบอิงความรู้สึกหรือสายตาเพียงอย่างเดียว

ข้อได้เปรียบหลักของเทคโนโลยีนี้อยู่ที่การป้องกันการเรียกคืนสินค้าและความล่าช้าในการผลิตที่มีต้นทุนสูง โดยสามารถตรวจจับการปนเปื้อนก่อนที่กระบวนการผลิตจะเริ่มขึ้น แทนที่จะพบปัญหาเมื่อผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ผู้ประกอบการสามารถระบุและแก้ไขปัญหาด้านสุขาภิบาลได้ทันที ช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเรียกคืนสินค้าและการดำเนินการตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างมีนัยสำคัญ การทดสอบในห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบได้ยืนยันถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ในการตรวจจับการปนเปื้อนจากสัตว์ปีกที่เกินขีดจำกัดของการตรวจสอบด้วยสายตา

ในอนาคต กริสคอมมีความหวังว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ร่วมกับหุ่นยนต์ที่สามารถสแกนอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ และตรวจจับบริเวณที่ต้องการการทำความสะอาดเพิ่มเติมได้อย่างแม่นยำ

เอกสารอ้างอิง

Doughman E. 2025. Spectrometry could simplify poultry processing sanitation. [Internet]. [Cited 2025 Sep 4]. Available from: https://www.wattagnet.com/poultry-future/poultry-tech-summit-news/news/15754591/spectrometry-could-simplify-poultry-processing-sanitation

ภาพที่ ๑ การใช้สเปกโตรเมทรีอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการควบคุมสุขาภิบาลในกระบวนการผลิตสัตว์ปีก (แหล่งภาพ DH Saragih I Shutterstock.com)


 

 

 

 

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2568

ยาเปลี่ยนเกม จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

 ยากลุ่มจีแอลพี-๑ อย่างโอเซมพิก มีฤทธิ์ลดความอยากอาหารและช่วยลดปริมาณแคลอรีที่บริโภคลงประมาณร้อยละ ๒๐ หรือ ๘๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของผู้คนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และสารปรุงแต่งต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ตามความเห็นของ นายเอเดน คอนนอลลี ประธานบริษัทแอ็กริเทค แคปิตอล จำกัด

ยาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรักษาโรคเบาหวานในตอนแรก กำลังส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาเลือกบริโภคโปรตีนที่มีไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีไขมันสูง ปัจจุบันมีผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ใช้ยากลุ่มนี้แล้วกว่า ๑๕.๕ ล้านคน และคาดว่าการใช้งานจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๙ ภายในปี พ.ศ.๒๕๗๓  ขณะที่ตลาดยากลุ่มจีแอลพี-๑  มีมูลค่าราว ๑.๕ ล้านล้านบาทอาจขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่าภายในปี พ.ศ.๒๕๗๕ ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต้องทบทวนแนวทางใหม่เพื่อรองรับตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยสุขภาพเป็นหลัก

ความต้องการอาหารสัตว์สำหรับเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ผู้บริโภคที่ใช้ยากลุ่มจีแอลพี-๑ กำลังเปลี่ยนพฤติกรรม โดยหันหลังให้กับเนื้อวัวและเนื้อหมูซึ่งมีไขมันสูง และหันมาเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่หรือปลา แนวโน้มนี้ส่งผลกระทบต่อความต้องการอาหารสัตว์สูตรพลังงานสูง เช่น ส่วนผสมของข้าวโพดและถั่วเหลืองที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มน้ำหนักสัตว์เลี้ยง ผู้ผลิตอาจต้องปรับสูตรใหม่ให้เหมาะกับสายพันธุ์ที่เน้นความลีน โดยให้ความสำคัญกับสารอาหารประเภทโปรตีนและส่วนประกอบที่ย่อยได้ง่ายมากกว่าสูตรดั้งเดิม

สารปรุงแต่งในอาหารสัตว์ก็ได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มไขมันและน้ำหนักตัวอาจถูกลดการใช้งานลง ขณะที่สารปรุงแต่งที่ส่งเสริมการดูดซึมโปรตีน สุขภาพลำไส้ หรือการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อแบบลีน เช่น กรดอะมิโนชนิดป้องกันการย่อย โปรไบโอติกหรือเอนไซม์เสริม กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การสำรวจในประเทศแคนาดาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๖  พบว่าผู้ใช้ยากลุ่มจีแอลพี-๑ มีการบริโภคอาหารแปรรูปลดลงถึงร้อยละ ๓๐ สะท้อนถึงความต้องการอาหารสัตว์ที่สนับสนุนการผลิตเนื้อสัตว์การสนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ที่มีความลีนมากขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในหลายมิติ โดยแม้ว่าผลผลิตรวมอาจลดลงเล็กน้อยร้อยละ ๐.๕ ถึง ๑ ในช่วงสิบปีข้างหน้า แต่ตลาดเนื้อแดงอาจเผชิญกับการหดตัวที่รุนแรงกว่ามอร์แกน สแตนเลย์ คาดการณ์ว่าการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงจะลดลงร้อยละ ๔ ภายในปี พ.ศ.๒๕๗๘ จะสร้างแรงกดดันต่อกลยุทธ์ด้านอาหารสัตว์และสารปรุงแต่งที่ผูกกับการผลิตเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง

ผู้ผลิตปรับสูตรอาหารสัตว์ไปสู่รูปแบบที่มีสารอาหารเข้มข้นหรือเน้นเส้นใยมากขึ้น

การรองรับการเลี้ยงสัตว์ที่เน้นความลีน ขณะเดียวกัน การใช้ที่ดินทางการเกษตรอาจเปลี่ยนจากการปลูกพืชอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ไปสู่พืชที่สนับสนุนห่วงโซ่โปรตีนลีน เช่น พืชตระกูลถั่วหรืออัลฟัลฟา ในด้านสิ่งแวดล้อม การผลิตสัตว์ที่มีความลีนมากขึ้นอาจช่วยลดของเสียและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คล้ายกับผลการศึกษาของสายการบินในสหรัฐฯ ที่พบว่าการลดน้ำหนักผู้โดยสารลงเพียง ๑๐ ปอนด์ต่อคนสามารถช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง ๑๐๐ ล้านลิตรต่อปีที่มีไขมันสูงลดลงตามไปด้วย

โปรตีนทางเลือก – แล้วผลิตภัณฑ์ลูกผสมล่ะ?

การใช้ยากลุ่มจีแอลพี-๑ ที่เพิ่มขึ้นกำลังผลักดันให้เกิดการพิจารณาโปรตีนทางเลือกมากขึ้น แม้ว่าเนื้อจากพืชที่ผ่านกระบวนการสูงอาจเผชิญกับความท้าทาย หากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับโปรตีนจากธรรมชาติ แต่ผลิตภัณฑ์ลูกผสมที่ผสานโปรตีนจากสัตว์และพืชอาจได้รับความนิยมมากขึ้น สารเสริมในอาหารสัตว์ที่สนับสนุนการผลิตโปรตีนลูกผสมเหล่านี้จะต้องช่วยเพิ่มความหนาแน่นของสารอาหารและประสิทธิภาพในการผลิต

นอกจากนี้ ความยั่งยืนจะมีบทบาทมากขึ้น โดยสูตรอาหารสัตว์ที่ช่วยเพิ่มการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นเนื้อสัตว์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับความนิยมในตลาดที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

จุดเปลี่ยนสำคัญ

อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และสารเสริมอาหารสัตว์กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ผู้ผลิตจำเป็นต้องคาดการณ์ถึงความต้องการอาหารสัตว์ที่สนับสนุนการผลิตเนื้อที่มีไขมันสูงที่อาจลดลง พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับการเลี้ยงสัตว์ที่เน้นความยั่งยืนและเนื้อที่มีไขมันต่ำ รวมถึงปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มโปรตีนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ที่สามารถปรับตัวได้ โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพทางโภชนาการ การเจริญเติบโตแบบเน้นคุณภาพ และสารเสริมที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ จะสามารถเติบโตได้ในตลาดที่ให้ความสำคัญกับการเลือกสรรและสุขภาวะมากขึ้น เมื่อยากลุ่มจีแอลพี-๑ เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคทั่วโลก ภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์จึงต้องปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของอนาคตที่เน้นความกระชับและความพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

Connolly A. 2025. The drug that might force the animal feed sector to rethink its approach. [Internet]. [Cited 2025 Sep 8]. Available from: https://www.poultryworld.net/the-industrymarkets/market-trends-analysis-the-industrymarkets-2/the-drug-that-might-force-the-animal-feed-sector-to-rethink-its-approach/

ภาพที่ ๑ ผู้บริโภคที่ใช้ยากลุ่ม GLP-1 กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมจากการบริโภคเนื้อที่มีไขมันสูง ไปสู่การเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่หรือปลา (แหล่งภาพ smartschwarz | Pixabay)



วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

ถอดรหัสการแพร่เชื้อไวรัสหวัดนกผ่านเนื้อสัตว์นำเข้า

 ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติกำลังตั้งคำถามว่า ประเทศต่าง ๆ ควรยังคงใช้กฎการค้าสัตว์ปีกที่มีอยู่เดิมต่อไปหรือไม่

การตั้งกำแพงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ในขณะที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับนั้นมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด? นี่คือหนึ่งในคำถามที่ ริคาร์โด ซานติน ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติ หรือไอพีซี และสมาคมโปรตีนจากสัตว์แห่งบราซิล หรือเอบีพีเอ ได้หยิบยกขึ้นมาในการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและผลกระทบทางเศรษฐกิจระดับโลกจากการที่ไวรัสเอช ๕ เอ็น ๑ อาจถูกนำเข้าสู่สัตว์มีชีวิตผ่านเนื้อสัตว์นำเข้า

ซานตินตั้งคำถามในเอกสารสั้นแต่ตรงไปตรงมาที่ส่งให้สื่อ ถึงการตัดสินใจของหลายประเทศที่เมื่อเกิดการระบาดของไข้หวัดนก ก็จะสั่งห้ามนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกจากประเทศที่ได้รับผลกระทบทันที หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เขากล่าวถึงคือ การที่มีนกป่าซึ่งเป็นพาหะของไวรัสบินข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและเราไม่สามารถควบคุมได้ เว้นแต่จะกำจัดนกเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้เลยในทางปฏิบัติ

อีกข้อเท็จจริงหนึ่งคือไวรัสเอช ๕ เอ็น ๑ สามารถคงสภาพการติดเชื้อได้ในเนื้อสัตว์ดิบแช่แข็งเป็นเวลานานกว่า ๖๐ วัน ที่อุณหภูมิ -๑๘ องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การที่ไวรัสยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้หมายความว่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อเสมอไป เช่น หากผลิตภัณฑ์นั้นผ่านกระบวนการในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่มีการควบคุม หรือหากปรุงสุกที่อุณหภูมิมากกว่า ๗๔ องศาเซลเซียส เพื่อการบริโภคของมนุษย์ ก็จะสามารถทำลายไวรัสได้

ยึดหลักวิทยาศาสตร์

ประธานสภาสัตว์ปีกนานาชาติ เน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของการยึดหลักการทางวิทยาศาสตร์  หากเรายึดตามหลักนี้ องค์การสุขภาพสัตว์โลก ได้จัดประเภทการค้าสินค้าสัตว์ปีกที่ผ่านการตรวจสอบว่าเป็นการค้าที่ปลอดภัย แม้จะมาจากประเทศที่มีการระบาดของไข้หวัดนกชนิดรุนแรง ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาจากพื้นที่ที่เกิดการระบาด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ซานตินเน้นให้พิจารณาระบบการแบ่งเขตและการแบ่งส่วนการผลิตหรือคอมพาร์ตเมนต์ตามแนวทางของ องค์การสุขภาพสัตว์โลก ประเทศที่ยังไม่ได้นำแนวทางนี้มาใช้ในการค้าระหว่างประเทศควรพิจารณาอย่างจริงจัง

การนำหลักการป้องกันไว้ก่อนมาใช้กับผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคของมนุษย์ โดยปราศจากการพิจารณาอย่างรอบด้านนั้น ส่งผลกระทบต่อการค้า และที่สำคัญคือไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าไม่สามารถยุติการระบาดของไข้หวัดนกในระดับโลกได้

 บราซิลกำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหล่านี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อุตสาหกรรมสัตว์ปีกทั่วโลกได้รับผลกระทบมาเป็นเวลานานอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงคือ ขณะนี้ประเทศผู้ส่งออกสัตว์ปีกรายใหญ่ที่สุดอย่างบราซิล เกิดการระบาดของไข้หวัดนกชนิดรุนแรงภายในประเทศ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าสัตว์ปีก และอีกข้อเท็จจริงคือ สิ่งต่าง ๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถดำเนินต่อไปในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไปเมื่อพิจารณาจากจากองค์ความรู้ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี และจากความจริงที่ว่าตลาดผู้นำเข้ายังคงต้องการอาหารอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้ผลิตไก่เนื้อจำนวนมากจะไม่ชอบการให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดนก แต่บางรายก็เริ่มปรับตัวและอยู่ร่วมกับมันได้ เราควรตระหนักว่าอุตสาหกรรมสัตว์ปีกไม่ได้หมายถึงเฉพาะเนื้อไก่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงไข่ ไก่งวง และวัสดุพันธุกรรมด้วย ขณะเดียวกัน นกป่าก็ยังคงบินข้ามพรมแดนอย่างไม่มีข้อจำกัด จึงมีการเสนอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงหลักการในด้านกฎระเบียบ โดยอิงจากความเสี่ยงที่แท้จริง หลักวิทยาศาสตร์ และความเหมาะสมตามสัดส่วน

เอกสารอ้างอิง

Ruiz B. 2025. Analyzing transmission of H5N1 virus through imported meat. [Internet]. [Cited 2025 Sep 5]. Available from: https://www.wattagnet.com/blogs/latin-america-poultry-at-a-glance/blog/15754644/analyzing-transmission-of-h5n1-virus-through-imported-meat

ภาพที่ ๑ การตั้งกำแพงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ในขณะที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับนั้นมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด? (แหล่งภาพ smartschwarz | Pixabay)



เก็บเกี่ยวชิ้นส่วนไก่ทุกชิ้นให้เป็นกำไร

 แนวโน้มทั่วโลกในปัจจุบันคือผู้บริโภคเริ่มนิยมเนื้อไก่แบบชิ้นส่วนมากกว่าไก่ทั้งตัว เนื่องจากความสะดวกในการปรุงอาหาร โดยไม่ต้องแยกชิ้นส่วนเองที่บ้าน หากผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างมีคุณภาพ เนื้อไก่แบบชิ้นส่วนจะให้ผลกำไรแก่ผู้ประกอบการมากกว่าไก่ทั้งตัว ดังนั้น โรงงานแปรรูปจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดการชิ้นส่วนไก่แต่ละชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยใช้ระบบตัดแบ่งที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้เหมาะกับความต้องการของตลาดแต่ละแห่งได้

ระบบเอซีเอ็ม-เอ็นที ของมาเรล มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับแต่งให้ตรงตามข้อกำหนดเฉพาะ โดยเฉพาะโมดูลใหม่อย่างวิงส์มาสเตอร์ และอัลไพน์ สำหรับการจัดการปีกและขาไก่ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลผลิตและผลกำไรสูงสุด

ชิ้นส่วนไก่

ชิ้นส่วนหลักของไก่ที่นิยมตัดแบ่งเพื่อจำหน่าย ได้แก่ ปีก ขา และอก ซึ่งถือเป็นส่วนที่มีมูลค่าสูงสุดในการแปรรูป ส่วนอื่น ๆ เช่น หาง ชิ้นหลังหรือกระดูกสันหลัง ไขมันแผ่น และกระดูกอก  ถือเป็นผลพลอยได้ที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการอื่นตามความเหมาะสม สำหรับปีกไก่ สามารถตัดได้หลายรูปแบบ ได้แก่ ปีกทั้งชิ้น ปีกแบบไม่มีปลายปีก หรือแยกเป็นสามชิ้น ได้แก่ ปีกบน ปีกกลาง และปลายปีก โดยชิ้นที่มีมูลค่าสูงสุดคือ ปีกบน และปีกกลาง เป็นข้อแรกและข้อที่สองของปีก ส่วน ปลายปีกนั้นมักมีมูลค่าต่ำและนิยมใช้ในการผลิตซุปหรืออาหารสัตว์

ขาไก่สามารถจำหน่ายได้ทั้งแบบขาทั้งชิ้น หรือแยกเป็นสะโพกและน่อง โดยการเลือกว่าจะใช้รูปแบบใดขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและมูลค่าที่สามารถสร้างได้จากแต่ละรูปแบบ ในส่วนของอกไก่ จะต้องผ่านการถอดกระดูกทุกครั้งก่อนเข้าสู่กระบวนการจำหน่าย โดยตลาดจะเป็นตัวกำหนดว่าอกไก่จะถูกตัดเป็นอกไก่ตอนบน (เบรสต์แคป)  หรือชิ้นส่วนครึ่งตัวด้านหน้า (ฟรอนต์ฮาล์ฟ) แตกต่างจากปีกและขาไก่ที่สามารถจำหน่ายแบบมีหรือไม่มีการถอดกระดูกได้ อกไก่จะไม่ถูกจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ปลายทางแบบค้าปลีกโดยตรง แต่จะเข้าสู่ระบบการถอดกระดูกต่อเนื่องที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์อกไก่ โดยระบบเอฟเอชเอฟ เฟล็กซ์คอนโทรล ของมาเรล เหมาะสำหรับการจัดการ ฟรอนต์ฮาล์ฟ ในขณะที่เครื่องถอดกระดูกรุ่นเอเธนา และเอเอ็มเอฟ-ไอ เหมาะสำหรับ เบรสต์แคป

เหตุผลที่ต้องใช้การตัดแบบตามกายวิภาค

        การตัดแบบตามแนวอวัยวะคือการตัดชิ้นส่วนไก่ตามข้อต่อธรรมชาติและแนวกล้ามเนื้อ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเศษกระดูก หรือชิ้นกระดูกแตกหลุดออกมาในระบบแปรรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพผู้บริโภคบางรายไม่ชอบเห็นไขกระดูกสีแดง หรือแม้แต่รอยขีดข่วนบนข้อต่อกลมของชิ้นส่วนที่ถูกตัด โดยต้องการชิ้นส่วนที่มีลักษณะกระดูกสมบูรณ์ไม่เสียหาย ดังนั้น การตัดจึงต้องมีความแม่นยำสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สะอาด ปลอดภัย และลดข้อร้องเรียนจากลูกค้า ซึ่งส่งผลให้การตรวจสอบกระดูกในระบบ เซนเซอร์เอ็กซ์ ที่อยู่ในขั้นตอนถัดไปต้องทำงานซ้ำลดลง

ภาพที่ ๑ โมดูลวิงส์มาสเตอร์ และอัลไพน์ รุ่นใหม่ของมาเรล สำหรับการแปรรูปปีกและขาไก่ได้รับการออกแบบให้ปรับเปลี่ยนได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุดและสร้างกำไรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ (แหล่งภาพ Marel)








               นอกจากนี้ ระบบแปรรูปในขั้นตอนถัดไป เช่น ระบบการผลิตน่องและสันใน ก็ทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้การตัดแบบตามแนวอวัยวะ เนื่องจากระบบนี้จะขูดเนื้อออกจากกระดูกโดยตรง เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด ข้อต่อกลมจะต้องคงสภาพสมบูรณ์ เพราะกล้ามเนื้อทุกมัดเชื่อมโยงกับจุดนี้ อย่างไรก็ตาม การตัดแบบตามแนวอวัยวะอาจไม่จำเป็นในกรณีของการแปรรูปเพื่ออุตสาหกรรมอาหารจานด่วน เช่นที่ใช้ในร้านเคเอฟซี ให้ความสำคัญกับการจัดชิ้นส่วนให้มีน้ำหนักเท่ากันมากกว่าความสมบูรณ์ของแนวตัดตามอวัยวะ นอกจากนี้ ตลาดบางแห่งยังให้ความสำคัญกับการปกปิดผิวหนังมากกว่าการตัดแบบแม่นยำตามแนวอวัยวะ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการตัดแบ่งชิ้นส่วนไก่ตามความต้องการของตลาดนั้น ๆ

การตัดปีกแบบคิว-วิง

ในส่วนของการตัดปีกไก่ภายในระบบแปรรูป มีตัวเลือกหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อต้องส่งมอบชิ้นส่วนปีกคุณภาพสูงให้กับลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะ ในกรณีนี้ไม่ควรมีผลิตภัณฑ์คุณภาพต่ำปะปนอยู่ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพเมเรล จึงนำเสนอระบบคิว-วิง เป็นโซลูชันอัจฉริยะที่ผสานการทำงานของระบบกล้องตรวจสอบคุณภาพระบบจับภาพอัจฉริยะไอริส ซอฟต์แวร์พีดีเอส โมดูลตัดปีกหลายชุดในระบบเอซีเอ็ม รวมถึงระบบสายพานลำเลียงที่เชื่อมโยงกับสถานีบรรจุและสถานีแก้ไขงานกลางอย่างลงตัว

ระบบคิว-วิง ใช้ข้อมูลคุณภาพจากการสแกนของกล้องไอริส เพื่อแยกชิ้นส่วนปีกเกรดเอ ออกจากปีกเกรดบี โดยอัตโนมัติ ซึ่งการแยกสายการผลิตตามคุณภาพนี้ช่วยให้เกิดข้อได้เปรียบด้านโลจิสติกส์อย่างชัดเจน เนื่องจากปีกเกรดเอและบี ต้องเข้าสู่กระบวนการที่แตกต่างกัน ด้วยระบบคิว-วิง การตรวจสอบคุณภาพด้วยแรงงานคนจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป โดยใช้พนักงานเพียงคนเดียวสำหรับการตรวจสอบขั้นสุดท้าย ระบบสามารถทำงานได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่เหนื่อยล้า และไม่ถูกชักนำด้วยอคติเช่นที่อาจเกิดขึ้นกับการตรวจสอบโดยมนุษย์

นายฟาเบียน ทาเฟอร์เนอร์ จากบริษัทฮูเบอร์ส ลันด์เฮินเดิล กล่าวว่า “ในระบบคิว-วิง เราจัดการกับผลิตภัณฑ์สองระดับคุณภาพ ปีกที่ดูดีจะถูกจัดเป็นเกรดเอ ส่วนปีกที่มีรอยแตกหรือรอยช้ำจะถูกจัดเป็นเกรดบี โดยการตัดสินใจว่าเป็นเกรดเอหรือบี จะดำเนินการโดยกล้องไอริสภายในระบบคิว-วิง

วิงมาสเตอร์

หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของระบบคิว-วิง สามารถทำงานแบบอิสระได้เช่นกัน คือ วิงมาสเตอร์โดยมีหน้าที่หลักในการตัดชิ้นส่วนกลางของปีกไก่ ให้ได้ผลผลิตสูงสุดและคุณภาพดีที่สุด หมายถึงการตัดที่แม่นยำตามแนวทางกายวิภาค และมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นสิ่งที่ วิงมาสเตอร์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยม

วิงมาสเตอร์ยังสามารถปรับระดับการคลุมผิวหนังของชิ้นส่วนได้ เพื่อให้การนำเสนอของปีกกลาง และปีกบนดูสวยงาม และสามารถจัดการกับปีกไก่ที่มีหรือไม่มีปลายปีกได้ ระบบการตัดอัตโนมัติในสายการผลิตเอซีเอ็ม นี้ช่วยลดความจำเป็นในการใช้แรงงานที่มีทักษะสูงในการคัดแยกและแก้ไขงาน ในกรณีที่ปีกซ้ายเกิดการแตกหักและต้องถูกส่งไปยังสายผลิตภัณฑ์คุณภาพ บี ระบบวิงมาสเตอร์ ที่อยู่ในชุด คิว-วิง ยังสามารถตัดชิ้นปีกกลางของปีกขวาได้ หรือจะเลือกไม่ตัดก็ได้เช่นกัน หลังจากการตัดแล้ว ระบบวิงมาสเตอร์ สามารถกระจายชิ้นปีกกลาง คุณภาพเอและบีไปยังสถานีบรรจุหรือสถานีแก้ไขงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตัดขาไก่

ภาพที่ ๒ โมดูลวิงส์มาสเตอร์ สำหรับการแปรรูปปีก (แหล่งภาพ Marel) 








การได้ผลผลิตสูงสุดจากชิ้นส่วนขาไก่ต้องอาศัยความแม่นยำ โดยเริ่มต้นจากบริเวณส่วนสะโพกไก่ เป็นจุดเริ่มต้นของการแปรรูป สามารถนำไปตัดได้หลายรูปแบบ ได้แก่ ตัดเป็นขาไก่แบบควอเตอร์ ด้วยเครื่องสปลิต คัตเตอร์ แยกออกเป็นน่องและสะโพก  ด้วยเครื่องดรัมสติ๊ก คัตเตอร์ ตัดเป็นขาไก่ตามแนวแบบกายวิภาคด้วยระบบอัลไพน์ เนื่องจากน้ำหนักของไก่ในตลาดปัจจุบันมีความหลากหลาย ระบบตัดขาไก่จึงควรสามารถรองรับช่วงน้ำหนักที่กว้างโดยไม่ต้องปรับตั้งค่าเพิ่มเติม ระบบอัลไพน์ของมาเรลสามารถรองรับขาไก่ที่ผ่านการแช่น้ำหรือแช่อากาศได้ แม้จะเป็นไก่ขนาดใหญ่พิเศษระดับ “ซูเปอร์เอชดี ก็ยังสามารถจัดการได้ และแม้แต่ภายในฝูงเดียวกัน ระบบนี้ก็สามารถรับมือกับความแตกต่างของน้ำหนักได้อย่างยอดเยี่ยม

ระบบอัลไพน์ สำหรับการตัดขาไก่แบบกายวิภาคมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการผลิต โดยมีเซนเซอร์ในตัวที่สามารถตรวจจับชิ้นส่วนหลังที่ไม่ต้องการได้อย่างแม่นยำ พร้อมหน้าจอเอชเอ็มไอ ที่ผสานรวมอยู่ในระบบ ช่วยให้สามารถติดตามการทำงานและตรวจสอบการสูญเสียของผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง ระบบอัลไพน์ยังใช้ล้อแยกข้อสะโพกแบบพิเศษที่เรียกว่า ฮิฟ ดิสโลเคชัน วีล ควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อต่อสะโพกโดยไม่สร้างแรงกดบนขาไก่ ทำให้สามารถตัดขาได้อย่างสะอาดและแม่นยำ โดยตลอดกระบวนการ ขาไก่จะถูกยึดไว้อย่างมั่นคงในชุดจับ ส่งผลให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพการตัดที่ดีเยี่ยม นายฮันเนส ลังเกน ผู้จัดการโครงการจากบริษัทเอมส์ลันด์ ฟริชเกอฟลือเกิลกล่าวว่าระบบอัลไพน์ เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับการแยกขาออกจากสะโพกแบบกายวิภาค ซึ่งช่วยให้ได้รอยตัดที่สะอาดบริเวณข้อต่อขาอย่างแท้จริง

เอกสารอ้างอิง

Marel. 2025. How to turn every piece of chicken into profit. [Internet]. [Cited 2025 Sep 1]. Available from: https://www.poultryworld.net/the-industrymarkets/processing/how-to-turn-every-piece-of-chicken-into-profit

ภาพที่ ๓ ผลผลิตจากคิว-วิง สูงกว่าสำหรับทุกชิ้นส่วนของปีกอย่างชัดเจน และคุณภาพก็ดีกว่าอีกด้วย(แหล่งภาพ Marel) 









ถึงเวลาทบทวนข้อจำกัดการค้าจากหวัดนกแล้ว

  ไวรัสไข้หวัดนกชนิดรุนแรง สามารถคงสภาพอยู่ได้ในเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งที่ยังไม่ผ่านการปรุงสุก ข้อเท็จจริงนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการจำกัดการค้าต...