วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

แผนลดแคมไพโลแบคเตอร์ในสหราชอาณาจักร



ระดมภาคส่วนต่างๆในอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีก NFU, FSA, Defra ผู้ประกอบการโรงงาน ร้านค้าปลีก และผู้ผลิต ร่วมกันทำข้อตกลงในการวางมาตรการกำจัดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในเนื้อไก่ดิบ
                การประชุมล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา การประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกันระหว่างภาครัฐ และอุตสาหกรรมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นในการลดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ โดยอาศัยข้อมูลจากโครงการวิจัย และการทดลองที่กำลังดำเนินการในปัจจุบัน เพื่อแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดในการควบคุมเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในฟาร์ม โรงงาน ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการบรรจุ การให้ความรู้กับผู้บริโภค และสร้างความตระหนักในการจัดการ และเก็บเนื้อไก่ดิบ
                ความจริงแล้ว แคมไพโลแบคเตอร์มิใช่ปัญหาใหม่สำหรับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีก เชื้อชนิดนี้มีความซับซ้อนจากการปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสิ่งแวดล้อม ภาคอุตสาหกรรมได้ทุ่มเทงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหานี้ และเชื่อว่า จะมีแนวทางแก้ปัญหานี้ได้ในไม่ช้า การประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มเป็นตัวอย่างของการร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค ถึงตอนนี้อาจยังไม่มีกระสุนวิเศษสำหรับการแก้ปัญหาได้ทันที แต่ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่า ไก่จะยังคงเป็นอาหารโปรตีนที่มีความปลอดภัยหากมีการปรุงสุกอย่างทั่วถึง เชื้อแคมไพโลแบคเตอร์เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของโรคอาหารเป็นพิษในสหราชอาณาจักร จึงมีความจำเป็นต้องมีการร่วมมือกันในการแสวงหาวิถีทางแก้ไขในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อาหาร เพื่อลดการระดับการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์ดิบ จำเป็นต้องมีข้อตกลงกันภายในภาคอุตสาหกรรม และรัญ โดยเฉพาะ การสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคในการจัดการอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ รวมถึง เนื้อไก่ดิบ  
แหล่งที่มา:            World Poultry (3/3/14)    

การใช้สูตรอาหารโปรตีนต่ำในไก่พันธุ์



อาหารโปรตีนต่ำสำหรับไก่พันธุ์เนื้อส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกาย ระหว่างการเลี้ยงในระยะรุ่น ส่งผลดีต่อการฟักระหว่างช่วงแรกของการให้ผลผลิต และผลผลิตไข่ในช่วงที่สองของการวางไข่
นักวิจัยด้านปศุสัตว์ในเนเธอร์แลนด์ ได้ศึกษาผลของการใช้อาหารโปรตีนสองสูตร ได้แก่ สูตรอาหารโปรตีนสูง และต่ำระหว่างการเลี้ยงในระยะรุ่นต่อการกินอาหาร โครงสร้างร่างกายเมื่อสิ้นสุดระยะการเลี้ยงไก่รุ่น และประสิทธิภาพการให้ผลผลิตในไก่พันธุ์เนื้อเพศเมีย โดยใช้ลูกไก่พันธุ์รอส ๓๐๘ ใช้เพศเมียทั้งหมด ๒,๘๘๐ ตัว แบ่งเป็น ๓๖ กรง เลี้ยงจนถึงอายุ ๖๐ สัปดาห์
ผลของการใช้อาหารโปรตีนต่ำ
                การทดลองเลี้ยงไก่ตามน้ำหนักให้เป็นไปตามมาตรฐานอายุไก่ที่ ๒๒ สัปดาห์ การกินอาหารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๑๒.๘ เปอร์เซ็นต์สำหรับไก่รุ่นที่ให้อาหารสูตรโปรตีนต่ำ ที่อายุ ๒๒ สัปดาห์ ไก่ที่ให้อาหารสูตรโปรตีนต่ำมีน้ำหนักกล้ามเนื้อหน้าอกน้อยลง ๑๕ เปอร์เซ็นต์ แต่มีไขมันช่องท้องมากขึ้น ๘๖ เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับไก่ที่ใช้สูตรอาหารโปรตีนสูง ส่งผลให้อัตราการฟักเพิ่มขึ้น ๑.๓ เปอร์เซ็นต์ เนื่องจาก อัตราการตายตัวอ่อนในระยะแรกที่ลดลง (อายุ ๒๓ ถึง ๔๕ สัปดาห์) นอกเหนือจากนั้น การใช้สูตรอาหารโปรตีนต่ำ สามารถเพิ่มผลผลิตไข่ ๓.๖ ฟองระหว่างการไข่ระยะที่สอง (๔๖ ถึง ๖๐ สัปดาห์) เมื่อคำนวณแล้ว แสดงให้เห็นว่า การให้อาหารสูตรโปรตีนต่ำ ช่วยเพิ่มกำไร ๐.๕๓ ปอนด์ต่อไก่พันธุ์ ๑ ตัว หรือประมาณ ๑๒,๕๐๐ ปออนด์สำหรับไก่พันธุ์เนื้อ ๑ ฟาร์ม   
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกาย และระบบสืบพันธุ์
                นักวิจัยยังสังเกตพบว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ศักยภาพทางพันธุกรรมของไก่พันธุ์เนื้อดีขึ้น เนื่องจาก การคัดเลือกอัตราการเจริญเติบโตของรุ่นลูก การเจิญเติบโตของไก่เนื้อลดลงจาก ๘๔ วันลงเหลือ ๓๓ วัน เพื่อให้ได้น้ำหนัก ๑.๘ กิโลกรัม ประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารลดลงในช่วงเวลาเดียวกันจาก ๓.๒๕ เหลือเพียง ๑.๕ เท่านั้น และอัตราการเจริญเติบโตต่อวันเพิ่มขึ้นจาก ๒๑ กรัมเป็น ๕๕ กรัม การคัดเลือกทางพันธุกรรมได้เพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร การเจริญเติบโต และสัดส่วนไขมันในร่างกาย มิได้ส่งผลต่อลูกไก่เท่านั้น แต่ส่งผลดีต่อไก่พ่อแม่พันธุ์ (พันธุ์เนื้อ) ด้วย โดยช่วยปรับความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย มีไขมันมากขึ้น แต่กล้ามเนื้อหน้าอกน้อยลงในแม่ไก่ระยะรุ่น ซึ่งส่งผลดีต่อระบบสืบพันธุ์  
แหล่งที่มา:            World Poultry (24/3/14)    

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

หวัดนกลามแปดจังหวัดเวียดนาม



เวียดนามรายงานการระบาดของโรคไข้หวัดนก H5N1 ในแปดจังหวัด ตามรายงานข่าวของกระทรวงเกษตร และการพัฒนาชนบท
                การระบาดของโรคไข้หวัดนกในจังหวัด Nam Dinh ทางตอนเหนือของเวียดนาม และอีกหลายจังหวัด ได้แก่ Ca Mau, Dak Lak, Khanh Hua, Kon Tum, Long An, Quang Ngai และ Tay Ninh ทางตอนกลาง และตอนใต้ของประเทศ มีการทำลายสัตว์ปีกที่ติดเชื้อไปแล้วกว่า ๓๐,๐๐๐ ตัว โดยเฉพาะจังหวัด Quang Ngai เกิดความเสียหายมากที่สุด มีสัตว์ปีกตายกว่า ๕,๐๐๐ ตัว จังหวัดอื่นๆก็ยกระดับการเตือนภัยระดับสูง เนื่องจาก ฟาร์มไก่กว่า ๕ ล้านตัวในจังหวัด Quang Nam ยังไม่ได้ให้วัคซีนป้องกันโรคเลย ขณะนี้ นายกรัฐมนตรี เหงียน เติ๋น สุง แต่งตั้งทีมตรวจสอบ เพื่อสนับสนุนการยับยั้งการระบาดของโรคไข้หวัดนก โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง รวมถึง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร และการพัฒนาชนบท (MARD) ที่ดำรงตำแหน่งผู้นำคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน และควบคุมโรคไข้หวัดนกให้มีการวางมาตรการป้องกันการแพร่กระจายโรคไปสู่คน จนถึงปัจจุบัน เวียดนามมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดนก H5N1 แล้ว ๒ รายทางตอนใต้ของจังหวัด Binh Phuoc และ Dong Thap
แหล่งที่มา:            World Poultry (17/2/14)    
             

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

จีนพบหวัดนกพันธุ์ใหม่ชนิดที่สองในรอบปี



พบเหยื่อรายแรกติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ในมนุษย์ สับไทป์ H10N8 ในประเทศจีน
                หญิงชราวัย ๗๓ ปีจากเมืองหนางฉางจากการติดเชื้อที่ตลาดค้าสัตว์ปีกมีชีวิตก่อนการเสียชีวิต แม้ว่า จะยังไม่ยืนยันแหล่งที่มาของการติดเชื้อที่แน่นอน ล่าสุดมีรายงานผู้ติดเชื้อเป็นรายที่สองแล้วในมณฑลเจียงซีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคมที่ผ่านมา จึงเป็นที่วิตกกังวลกันมากว่า เชื้อไวรัสสับไทป์ H10N8 กำลังหมุนเวียนอยู่ในสิ่งแวดล้อม และคอยเวลาติดเชื้อเข้าสู่มนุษย์ในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งที่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จีนก็มีการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนก สับไทป์ H7N9 ที่มีอัตราการตายถึงหนึ่งในสี่ของผู้ติดเชื้อ ผลการศึกษาของ Lancet แสดงให้เห็นว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มีโครงสร้างทางพันธุกรรมสองชนิด ได้แก่ H5N1 และ H7N9 ที่กระโดดจากสัตว์ปีกสู่มนุษย์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายรายมาแล้ว ผู้วิจัยกล่าวว่า เชื้อไวรัส H10N8 ไม่ก่อโรคในสัตว์ปีก นั่นคือ เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายไปได้อย่างเงียบๆในฟาร์ม โดยที่สัตว์ปีกไม่แสดงอาการของโรค อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัย ยังแสดงให้เห็นว่า โรคมิได้แพร่กระจายจากคนสู่คน ซึ่งอาจเป็นอันตรายมากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องจับตามองเชื้อไวรัสนี้อย่างใกล้ชิด จะประเมินอันตรายของเชื้อไวรัสชนิดนี้ต่ำไปไม่ได้
แหล่งที่มา:            World Poultry (6/2/14)    

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เติม DDGS ลงอาหารสัตว์ได้เท่าไร



เผยงานวิจัยเพื่อประเมินผลของการเติม และพลังงานที่สามารถเมตาโบไลส์ได้ (ME) DDGS ต่อคุณภาพเม็ดอาหาร ความสามารถในการย่อย รอยโรคเท้าอักเสบ และผลการเลี้ยงไก่เนื้อ
                ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า สามารถใช้ DDGS ได้ในสัดส่วนถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ในอาหารไก่เนื้อ เมื่อคำนวณสูตรอาหารตาม AA อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ระดับสูงสุดที่ใช้เติมลงในอาหารได้ควรเป็นเท่าไร เมื่อคำนวณสูตรอาหารตาม CP ค่า MG ของ DDGS โดยทั่วไปคำนวณโดยอาศัย crude fat โปรตีน และไฟเบอร์
                 Crude fat สามารถประเมินโดยอาศัยการสกัด หรือการมีการให้ Acid hydrolysis pre-treatment กอน โดยสามารถให้ค่า crude fat ประมาณ ๒ เปอร์เซ็นต์ใน DDGS ดังนั้นจึงมีค่า ME ที่สูงกว่าประมาณ ๒.๒ เปอร์เซ็นต์
                ไก่เนื้อเพศผู้จำนวน ๑,๒๖๐ ตัว แบ่งกลุ่มแบบสุ่มเป็น ๕ กลุ่ม โดยให้มี ๖ ซ้ำต่กลุ่มการทดลอง มีไก่จำนวน ๓๕ ตัวต่อกลุ่ม การทดลองแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่ไม่ให้ DDGS และจัดเรียงแบบ factorial arrangement of two analytical methods สำหรับการวิเคราะห์ CF (AOAC 920.39 และ 954.02) และเติม DDGS เป็น 2 ระดับ (๑๕ และ ๓๐ เปอร์เซ็นต์) ค่า DDGS ME ที่ใช้สำหรับสูตรอาหารเป็น ๒,๖๓๑ และ ๒,๖๘๙ กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม อาหารสูตรแรกเป็นแบบ crumbled form ประกอบด้วย DDGS ๖ เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อถึงระยะเติบโต และระยะสุดท้ายเป็นแบบ pelleted from พบว่า การกินอาหาร และน้ำหนักตัวที่อายุ ๑๔, ๓๕ และ ๔๙ วัน และอัตราแลกเปลี่ยนอาหาร ที่อายุ ๓๕ และ ๔๙ วัน เก็บตัวอย่างลำไส้เล็กส่วนท้ายวิเคราะห์ความสามารถในการย่อยอาหาร ที่อายุ ๕๐ วัน ประเมินรอยโรคที่เท้า ผลการทดลอง พบว่า ค่าวิเคราะห์ที่ ๙๕๔.๐๒ ส่งผลให้ลดการเติมไขมันลงได้ และช่วยเพิ่มคุณภาพเม็ดอาหาร ในทางตรงข้าม การเติม DDGS ที่สัดส่วน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ลดคุณภาพเม็ดอาหร ลดน้ำหนัก การแลกเปลี่ยนอาหาร การย่อยได้โปรตีน และเพิ่มอุบัติการณ์รอยโรคที่เท้า ไก่เนื้อสามารถให้ DDGS ที่สัดส่วน ๑๕ เปอร์เซ็นต์เมื่อคำนวณสูตรโดยอาศัย CP และวิธีการคำนวณ CF และ ME ส่งผลต่อผลการเลี้ยงไก่เนื้อได้   
แหล่งที่มา:            Wilmer Pacheco, Adam Fahrenholz, Charles Stark, Peter Ferket, John T. Brake, North Carolina State University, Raleigh, NC USA. Proceedings International Poultry Scientific Forum (2014), Atlanta, GA, USA
 

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การแก้ปัญหาวัสดุรองพื้นโดยอาศัยกรด

แก๊สแอมโมเนียที่ผลิตจากวัสดุรองพื้นระหว่างการเลี้ยงไก่ส่งผลกระทบต่อตา และสุขภาพของระบายใจ รวมถึง ประสิทธิภาพการผลิต
                การแก้ไขปัญหาวัสดุรองพื้นเสียภายในโรงเรือนระหว่างการกกลูกไก่โดยใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีเดียว สามารถควบคุมปัญหาได้ระยะหนึ่งเท่านั้น นักวิจัยจึงพยายามใช้กรดระหว่างเลี้ยง เพื่อปรับสมดุลของความเข้มข้นแอมโมเนียภายในวัสดุรองพื้น และผลการเลี้ยงในไก่เนื้อที่เลี้ยงในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน
                การทดลองทั้งหมด ๓ รุ่น ระยะเวลาระหว่างฝูงเป็นเวลา ๑๔ วันให้คล้ายกับการเลี้ยงไก่เชิงพาณิชย์จริง แต่ละกลุ่มการทดลองแบ่งเป็น ๔ ซ้ำ สำหรับ ๕ กลุ่มการทดลอง ในแต่ละกลุ่มการทดลอง มีไก่เนื้อ จำนวน ๔๒ ตัว เลี้ยงด้วยเครื่องให้อาหารตามท่อ และอุปกรณ์ให้น้ำแบบนิปเปิล แบ่งเป็น กลุ่มควบคุมลบ (ไม่มีการแก้ปัญหาเลย) ให้กรดครั้งเดียวหนึ่งวันก่อนลงลูกไก่ (-๑ วัน) ให้สองครั้ง (-๑ และ ๒๘ วัน) ให้ช่วงท้ายด้วย (-๑, ๒๘ และ ๔๓ วัน) และให้ทุกสองสัปดาห์ (-๑, ๑๔, ๒๘ และ ๔๒ วัน) และให้ทุกสองสัปดาห์จนถึง ๔๓ วันจากอายุการเลี้ยงทั้งหมด ๕๖ วัน โดยใช้ขนาดตามที่ผู้ผลิตแนะนำคือ ๑๐๐ ปอนด์ต่อ ๑,๐๐๐ ตารางฟุต ผลการวิจัย บ่งชี้ว่า การให้ทุกสองสัปดาห์ให้ผลดีที่สุดในการลดความเข้มข้นแอมโมเนีย ตามด้วยการให้ช่วงท้าย โดยความเข้มข้นแก๊สแอมโมเนียได้ลดลง ๕๖.๖ และ ๒๑.๘ เปอร์เซ็นต์ที่อายุ ๔๒ และ ๕๗ วัน ตามลำดับ สำหรับการให้ทุกสองสัปดาห์

  แหล่งที่มา Proceedings of the 2013 International Poultry Scientific Forum, Atlanta, GA USA
 

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...