วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เตือนฟาร์มไก่อังกฤษลดใช้ยาปฏิชีวนะ

การใช้ยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญสำหรับมนุษย์ถูกตักเตือนในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกของอังกฤษตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๗ แม้ว่า อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกพยายามลดการใช้ลง แต่ก็ยังคงมีใช้ให้เห็น
สภาสัตว์ปีกแห่งสหราชอาณาจักร (British Poultry Council, BPC) บ่งชี้ว่า การใช้ยากลุ่มฟลูออโรควิโนโลนเพิ่มขึ้นถึง ๕๙ เปอร์เซ็นต์ในช่วงสิบสองเดือนที่ผ่านมา คิดเป็นน้ำหนักรวมของยา ๑.๑๒๖ ตันที่มีการใช้กันในปี พ.ศ.๒๕๕๗ เปรียบเทียบกับ ๐.๗๑ ตันที่ใช้กันในปีก่อน
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์อิสระ อ้างว่า ไก่เนื้อมากกว่า ๒๐ ล้านตัวถูกรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หลังจากสหรัฐฯได้ถอนยาจากฟาร์มสัตว์ปีกในปี ๒๕๔๘ ถึงตอนนี้ Defra ก็ได้เสนอให้รัฐบาลต้องเร่งรัดสำนึกใช้ยาด้วยความรับผิดชอบ 
มาตรการควบคุมการจำหน่ายยาปฏิชีวนะยังไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงต้องหันมารณรงค์ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกเพื่อให้มีการเปรียบเทียบการใช้ยาจริงในฟาร์มกับประเทศอื่นๆในยุโรป สภาสัตว์ปีกแห่งสหราชอาณาจักรได้เปรียบเทียบการใช้ยาต่อต้านจุลชีพระหว่างสมาชิกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๕ และ๒๕๕๗ โดยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรด้านสัตวแพทย์ มีเพียงไม่กี่แห่งที่ปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนั้น สภาสัตว์ปีกสหราชอาณาจักรจึงเริ่มจัดตั้งกลุ่มรณรงค์การลดยาปฏิชีวนะขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๕๔ สภาสัตว์ปีกสหราชอาณาจักรมีบทบาทในการเป็นผู้นำลดการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยมุ่งกลุ่มที่ใช้สำหรับการแพทย์ ในปี พ.ศ.๒๕๕๔ สมาชิกของสภาสัตว์ปีกยุโรป ตัดสินใจหยุดการใช้ยากลุ่มเซฟาโลสปอริน ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ ถึง ๒๕๕๗ การใช้ยาปฏิชีวนะรวมในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ปีกลดลง ๓๐ เปอร์เซ็นต์
แหล่งข้อมูล Jake Devies, Poultry World (4/2/16) 



วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สมองเล็กเพราะไข้ซิก้านี่เอง?

ไข้ซิก้าเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า โรคไวรัสซิก้ามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส ซิก้า อาการคล้ายคลึงกับไข้เลือดออก ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ๖๐ ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่แสดงอาการ อาการของโรค ได้แก่ ไข้ ตาแดง ปวดข้อ ปวดศีรษะ และปรากฏเม็ดตุ่มผื่นคัน โดยทั่วไป อาการค่อนข้างน้อย และมีอาการปรากฏเพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่ ๗ วันเท่านั้น ไม่ปรากฏผู้เสียชีวิตจนกระทั่งรายแรกเมื่อปีที่ผ่านมา การติดเชื้ออาจก่อให้เกิดกลุ่มอาการภูมิแพ้ตัวเองที่เรียกว่า กลุ่มอาการจีบีเอส หรือกิลแลง บาร์เร
               ไข้ซิก้าแพร่กระจายโดยยุงลาย รวมถึง การรับเลือด และเพศสัมพันธ์ โรคอาจแพร่จากแม่สู่ลูกได้ในครรภ์ และเป็นสาเหตุของอาการสมองเล็ก (Microcephaly) การวินิจฉัยมักอาศัยการตรวจเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำลาย เพื่อตรวจหาอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสจากผู้ป่วย โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยระมัดระวังไม่ให้ยุงกัด โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายงานการระบาดของโรค เช่น การใช้สารไล่ยุงทาตามร่างกาย กางมุ้งนอน และกำจัดแหล่งน้ำนิ่งที่ยุงอาศัยแพร่พันธุ์ ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๘ สาธารณสุขบราซิลแนะนำให้พ่อแม่พิจารณาหลีกเลี่ยงแผนการมีครรภ์ช่วงที่การระบาดของโรค และแนะนำให้สตรีมีครรภ์หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่โรคระบาด แม้ว่าจะไม่มีวิธีการบำบัดรักษาอย่างจำเพาะ แต่การใช้ยาพาราเซตามอล หรืออะเซตามิโนเฟน อาจช่วยบรรเทาอาการของโรค ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
               เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคแยกพบครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๙๐ แต่เพิ่มมีรายงานการระบาดในมนุษย์เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ สหพันธรัฐไมโครนีเซีย ประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นเกาะเล็กๆในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๙ โรคได้แพร่ระบาดไปยังหลายประเทศในทวีปอเมริกา นอกเหนือจาก แอฟริกา เอเชีย และแปซิฟิก เนื่องจาก การระบาดเริ่มต้นที่ประเทศบราซิลตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๘ ดังนั้น องค์การอนามัยโลกจึงประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศในเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง

อาการ และกลุ่มอาการของโรค
                  อาการ และกลุ่มอาการของโรคไข้ซิก้า ได้แก่ ไข้ ผื่นคัน ปวดตามข้อ เยื่อตาอักเสบ (ตาแดง) ปวดกล้ามเนื้อ และข้อต่อ และปวดศีรษะ อาการ และกลุ่มอาการโดยภาพรวมคล้ายคลึงกับโรคไข้เลือดออก และชิคุนกุนยา ระยะฟักตัวนับตั้งแต่ยุงกัดจนเริ่มแสดงอาการของโรค ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าใช้เวลาไม่กี่วันไปจึงถึงเป็นสัปดาห์ อาการของโรคเป็นเวลาหลายวันจนถึงเป็นสัปดาห์ และค่อนข้างน้อยไม่จำเป็นต้องไปนอนรักษาที่โรงพยาบาล การเสียชีวิตพบได้ยาก ภาวะเลือดออก อาจพบได้เป็นเลือดออกปนมากับน้ำเชื้อของผู้ชาย (Hematospermia)  

               ระหว่างการตั้งครรภ์ เชื่อว่า เชื้อสามารถแพร่จากมารดาสู่บุตรในครรภ์ได้ และเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะศีรษะเล็ก (Microcephaly) แต่ก็ยังมีรายงานการเกิดโรคนี้เพียงไม่กี่รายเท่านั้น โดยในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขบราซิล เตือนประชาชนให้ทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่างโรคซิก้าไวรัส และภาวะศีรษะเล็กในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิลจากการตรวจพบทารกที่ปรากฏโรคอย่างรุนแรง ๒ ราย โดยผลการเจาะตรวจน้ำคร่ำ ยืนยันการปรากฏของเชื้อไวรัสซิก้าในน้ำคร่ำ ผลการตรวจอัลตราซาวด์ พบทารกทั้งสองรายมีลักษณะของศีรษะเล็ก เนื่องจาก สมองหลายส่วนถูกทำลาย ทารกรายหนึ่ง ยังตรวจพบการสะสมแคลเซียมที่ตา และมีลูกตาขนาดเล็ก (Microphthalmia) อีกด้วย ดังนั้น รัฐบาลบราซิลจึงยืนยันความเชื่อมโยงระหว่างการติดเชื้อไวรัสซิก้าในสตรีมีครรภ์ และภาวะศีรษะเล็กในทารก โดยมีผู้ป่วยที่สงสัยภาวะศีรษะเล็กอย่างน้อย ๒,๔๐๐ รายในประเทศช่วงปีที่ผ่านมา และเสียชีวิตไปแล้ว ๒๙ ราย   

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

น้ำมันหอมระเหย ความหวังใหม่ลดใช้ยาปฏิชีวนะ

น้ำมันหอมระเหยเป็นกุญแจสำคัญทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะส่งเสริมการเจริญเติบโตในสัตว์ปีกจากผลการวิจัยของบริษัทคาร์กิล ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารสหรัฐฯ แต่น้ำมันระเหยมีกลไกการทำงานอย่างไรที่สารเติมอาหารสัตว์ชนิดอื่นๆที่ไม่ใช่ยาไม่สามารถทำได้
               ผลการวิจัยเลือกหาสารเติมอาหารสัตว์ที่เป็นประโยชน์สูงที่สุดสอดคล้องกับความต้องการลูกค้า ผลผลิตที่ดีคงเส้นคงวา พบว่า น้ำมันหอมระเหยน่าจะให้ผลได้ดีที่สุดบรรลุกุญแจสำคัญ ๔ ประการสำหรับสุขภาพลำไส้
               น้ำมันหอมระเหยกุญแจสำคัญสำหรับเสริมสุขภาพลำไส้ที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการผลิตสัตว์ปีก เนื่องจาก ระบบทางเดินอาหารมีหน้าที่สำคัญต่อการให้ผลผลิตที่ดี กุญแจสำคัญ ๔ ประการของสุขภาพลำไส้ ประกอบด้วย
๑.     การสร้างความสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้
๒.    ควบคุมการทำหน้าที่ภูมิคุ้มกัน และกระบวนการอักเสบ
๓.    ช่วยส่งเสริมการย่อย และการดูดซึมสารอาหาร
๔.    เพิ่มประสิทธิภาพปกป้องเชื้อก่อโรค
               ขณะที่ สารเติมอาหารสัตว์ทุกชนิด ให้ผลที่ดีในบางประการ นักวิจัยจากคาร์กิล พบว่า น้ำมันหอมระเหย โดยเฉพาะที่มีองค์ประกอบของไทม์ ซินนามอน และโอริกาโน ให้ผลที่ดีที่สุดโดยภาพรวมต่อสุขภาพลำไส้ รวมถึง ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อจุลชีพ การปรับสมดุลของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมการย่อยสารอาหาร และกระตุ้นการสร้างเมือก
               ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรค พบว่า น้ำมันหอมระเหยออกฤทธิ์ต่อเชื้อก่อโรคได้อย่างกว้างขวาง และส่งผลโดยตรงต่อการทำหน้าที่ของทางเดินอาหาร นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นมา การวิจัยทั้งในตัวสัตว์ และห้องปฏิบัติการที่ศูนย์นวัตกรรมด้านอาหารสัตว์ของคาร์กิลในประเทศเนเธอร์แลนด์ สหรัฐฯ จอร์แดน ฝรั่งเศส โปแลนด์ อินเดีย มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสารเติมอาหารสัตว์ รวมถึง น้ำมันหอมระเหย โปรไบโอติก ยีสต์ และกรดไขมันสายกลาง (MCFA)
         บทบาทของน้ำมันหอมระเหยต่อการลดการใช้ยาปฏิชีวนะ พบว่า น้ำมันหอมระเหยมีประสิทธิภาพออกฤทธิ์ควบคุมการติดเชื้อในลำไส้ เช่น โรคซัลโมเนลโลซิส และโรคบิด สามารถนำมาใช้ทดแทนยาปฏิชีวนะได้มากกว่า ๘๕ เปอร์เซ็นต์ โดยผลการวิจัยพบความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างกลุ่มที่ให้ยาปฏิชีวนะ และกลุ่มที่ให้น้ำมันหอมระเหย
               ผลการวิจัย แสดงให้เห็นถึง น้ำมันระเหยสำหรับผสมในอาหารสัตว์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร และลดการใช้ยาปฏิชีวนะ นักวิจัยสนับสนุนให้ผสมทั้งน้ำมันหอมระเหย และกรดอินทรีย์เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงที่สุด นักวิจัยด้านโภชนาการของคาร์กิลกำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตสัตว์ปีกโดยตรงเพื่อออกแบบแผนการให้อาหารสัตว์ให้สอดคล้องกับการจัดการฟาร์ม การทดลองด้านประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารจากผลการศึกษาทั้ง ๑๒ การทดลอง แสดงให้เห็นว่า ไก่ที่ให้สูตรอาหารพิเศษของคาร์กิลที่เรียกว่า “Promote Basic Nucleus additive” ที่ใช้ส่วนผสม ๗ ชนิดจากการคัดเลือกสันเป็นพิเศษ โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ราว ๒ เปอร์เซ็นต์ และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารที่ดีขึ้นกว่าเดิม ๑.๕ เปอร์เซ็นต์ โดยมีค่า ROI เป็น ๕ ต่อ ๑ สำหรับผู้ผลิต
แหล่งข้อมูล        World Poutlry (4/2/16)

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อินเดียทำลายเป็ดไก่ติดหวัดนกกว่าแปดพันตัว

โรคไข้หวัดนกหวนคืนสู่อินเดีย ขณะที่มีรายงานระบาดเพิ่มขึ้นในไต้หวัน เวียดนาม และจีน
               โรคไข้หวัดนกได้รับการยืนยันการระบาดแล้วที่ฟาร์มในรัฐตรีปุระ ประเทศอินเดีย ไก่ และเป็ดมากกว่า ๘,๐๐๐ ตัว ถูกทำลาย ฟาร์มดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมือง Gandhigram ทางตะวันตกของรัฐตรีปุระ บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ติดกับประเทศบังคลาเทศ หลังจากการตายของไก่ เป็ด และสัตว์ปีก กรมปศุสัตว์ได้ส่งตัวอย่างให้ห้องปฏิบัติการหลายแห่งทั้งในท้องถิ่น และภายนอก โดยผลการตรวจยืนยันผลบวกต่อเชื้อไวรัสสับไทป์ H5 เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น สัตว์ปีกทั้งหมดในรัศมี ๑ กิโลเมตรรอบฟาร์มที่เกิดโรคระบาดจึงถูกสั่งทำลาย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แผนการเฝ้าระวังโรคจะกำหนดเป็นรัศมี ๑๐ กิโลเมตรถัดไป เพื่อตรวจติดตามการแพร่กระจายโรค
               การระบาดโรคไข้หวัดนกในไต้หวัน เวียดนาม และจีน สองสัปดาห์ที่แล้ว กรามปศุสัตว์ไต้หวันได้รายงานโรคระบาดไปยัง OIE จากเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสับไทป์ H5N2 ทั้งหมด ๗ ครั้ง ครอบคลุมฟาร์มสัตว์ปีกทั้งหมด ๖ แห่ง และสัตว์ปีกป่า ๑ ครั้ง ส่งผลให้มีการทำลายสัตว์ปีกทั้งหมด ๓๒,๓๑๐ ตัว เมื่อเร็วๆนี้ยังมีการทำลายเพิ่มอีก ๒๗,๕๓๘ ตัวภายหลังการยืนยันโรคอีกครั้งในเมืองชิงหัว จนถึงตอนนี้ เชื้อไวรัสไข้หวัดนกถูกตรวจพบในนกป่าไปแล้ว ๔ ครั้ง ขณะเดียวกันในประเทศเวียดนามก็มีรายงานการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสับไทป์ H5N6 ให้ OIE โดยตรวจพบในสัตว์ปีกเลี้ยหลังบ้านจำนวน ๖,๖๐๐ ตัว ในฟาร์มทางตอนกลาง และตอนเหนือของประเทศ โดยฟาร์มในจังหวัดหูหนานในจีนก็ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อหงส์ดำจำนวน ๑,๓๐๐ ตัว และนกยูงในฟาร์มแห่งหนึ่ง

               สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดูแย่ลงคือ การเกิดโรคในคนที่ประเทศจีน โดยมีการรายงานต่อ WHO ว่า มีการยืนยันผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก ๒ รายจากการติดเชื้อ H5N6 ในจังหวัดกวางตุ้ง ผู้ป่วยทั้งสองรายเดินชมตลาดค้าสัตว์ปีกมีชีวิต หนึ่งในสองรายดังกล่าวได้เสียชีวิตลงแล้ว ขณะที่ นักธุรกิจชาวไต้หวันที่ติดเชื้อ H7N9 หลังจากไปเที่ยวจีนได้เสียชีวิตลงแล้วเช่นกัน โดยผู้ป่วยติดเชื้อภายหลังเที่ยวชมตลาดค้าสัตว์ปีกเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

รัสเซียขุดพบแบคทีเรียใต้ชั้นน้ำแข็งไซบีเรียใช้แทนยาปฏิชีวนะ

นักวิทยาศาสตร์รัสเซียเล็งเห็นโอกาสยิ่งใหญ่เพื่อหายาทดแทนยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์ปีก โดยใช้แบคทีเรียโบราณอายุกว่า ๓.๕ ล้านปีจากใต้ชั้นหิมะในไซบีเรีย
               เชื้อบาซิลลัส เอฟ ซ่อนอยู่ใต้ชั้นหิมะในไซบีเรียมาเป็นเวลาหลายล้านปี จนกระทั่ง ขุดค้นพบในปี พ.ศ.๒๐๑๕ ที่ผ่านมานี้เองในไซบีเรียที่หนาวเย็นสุดขั้ว ช่วยให้สัตว์ปีกมีประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารที่ดีจากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียที่สถาบัน State Instutute of Earth Cryosphere โดยเชื้อ บาซิลลัส เอฟ นี้ยังสามารถนำมาใช้สำหรับการผลิตยาเสริมภูมิคุ้มกันกันได้อีกด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่จะลดการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีก ผลการศึกษาเบื้องต้นโดยการใช้แบคทีเรียผสมในอาหารสัตว์ปีกที่ทำการวิจัยโดยสถาบันวิจัยชั้นนำหลายแห่งในรัสเซีย การทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยใช้หนูทดลอง และการทดสอบนำร่องในไก่ พบว่า เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เป็นความหวังใหม่ ดังนั้น นักวิจัยจึงเริ่มพัฒนาสูตรสำหรับยาที่ผสมแบคทีเรียชนิดใหม่นี้กับคอลอยด์ของเงิน ยาชนิดใหม่นี้จะทำการทดสอบในระดับฟาร์มสัตว์ปีกช่วงต้นปีนี้  หัวหน้าคณะผู้วิจัย Andrie Subbotin อ้างว่า แบคทีเรียที่ใช้ในการวิจัยค้นพบใต้น้ำแข็งลึกที่เทือกเขาแมมมอธในยูคาเทีย ก้อนหินบริเวณดังกล่าวสามารถสอบย้อนกลับไปได้ถึง ๓.๕ ล้านปีมาแล้ว เชื้อแบคทีเรียที่สามารถอยู่รอดใต้หิมะเย็นสุดขั้วเป็นเวลาหลายร้อยปี ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นใหม่ แล้วเจริญเติบโดตได้ที่อุณหภูมิสูงกว่า ๕ องศาเซลเซียส นักวิจัยยังไม่มั่นใจว่า เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ เนื่องจาก พื้นใต้น้ำแข็งยังสามารถซึมผ่านลงไปได้ นักวิจัยเชื่อว่า เชื้อแบคทีเรียใต้ชั้นหิมะเยือกแข็งดำรงอยู่ในสถานะที่มีกระบวนการเมตาโบลิซึมต่ำ แต่ยังสามารถดำรงชีพอยู่ได้
               เชื้อบาซิลลัส เอฟ ช่วยเพิ่มอัตราการแลกเปลี่ยนอาหาร และการเจริญเติบโต การให้เชื้อเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการเมตาโบลิซึม และภูมิคุ้มกันของสัตว์ทดลอง เป็นการส่งเสริมคุณภาพของชีวิต โดยเฉพาะ สัตว์ที่มีอายุมาก แสดงให้เห็นว่า ยาบาซิลลัส เอฟ น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับใช้ในการต่อสู้กับเชื้อโรค โดยเฉพาะ ซัลโมเนลลา หรือ MRSA นอกเหนือจากนั้น นักวิจัยรัสเซียยังทดลองในหนูที่ฉีดยาบาซิลลัส เอฟ แล้วประเมินผลโดยใช้ภาพ Resonance imagine พบว่า การฉีดสารสื่อกลางสองชนิด ได้แก่ กลูตาเมต และทอรีน ที่สามารถเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน และยืดอายุของเซลล์ได้ พบว่า กลูตาเมตช่วยเสริมในการออกฤทธิ์กระตุ้นสภาวะทางจิตใจ ขณะที่ ทอรีน มีอิทธิพลเกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญพลังงานในสิ่งมีชีวิต โดยสัตว์กลุ่มทดลองที่ให้วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม ๒๐ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับก่อนการให้วัคซีน นักวิจัยเชื่อว่า สัตว์ปีกในฟาร์มน่าจะเห็นผลบวกต่ออัตราการแลกเปลี่ยนอาหาร และอัตราการเจริญเติบโตที่ชัดเจน
               การทดสอบเบื้องต้น แสดงให้เห็นถึง การเพิ่มการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเป็นการลดโอกาสการปนเปื้อนเชื้อโรค อย่างไรก็ตาม ยังเร็วไปที่จะบอกว่า สามารถทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหาร แต่นักวิจัยเชื่อมั่นว่า การผสมแบคทีเรียเหล่านี้ ร่วมกับสารต้านจุลชีพ โดยเฉพาะ คอลลอยด์ของเงิน จะส่งเสริมฤทธิ์กัน และลดการใช้ยาปฏิชีวนะลงได้โดยคาดหวังว่าจะลดการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ปีกลงได้ราว ๓๐ ถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับปัจจุบัน ซึ่งจะเกิดผลดีต่อการแพทย์สมัยใหม่ที่มีการพัฒนาเชื้อดื้อยาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การทดลองเบื้องต้นในหนูทดลองก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การฉีดเชื้อแบคทีเรียเข้ากล้ามเนื้อเป็นผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ ช่วยยืดชีวิตสัตว์จากที่มีอายุเฉลี่ย ๕๘๙ วัน สามารถเพิ่มอายุขัยขึ้นได้อีก ๓๐๘ วัน ดังนั้น อายุเฉลี่ยของหนูทดลองที่ให้ยา บาซิลลัส เอฟ จึงเพิ่มขึ้นเป็น ๙๐๖ วัน และยังป้องกันปัญหาตาบอด เนื่องจาก สัตว์อายุมาก
               นักวิจัยกำลังพยายามประเมินประสิทธิภาพจากการผสมในอาหารสัตว์ โดยเฉพาะ ผลต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งสัตว์ และพืช โดยยาบาซิลลัส เอฟ ช่วยลดความเครียดในพืชช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และนิเวศวิทยา เพื่อให้มีผลผลิตที่ดีขึ้นได้จากผลการวิจัยในพืชที่ชอบอากาศร้อนอย่างข้าวโพด ปัจจุบัน ศูนย์วิจัย และสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพกำลังเริ่มพัฒนายาเสริมภูมิคุ้มกันที่อาจช่วยให้บริษัทเกษตรกรรมในรัสเซียสามารถผลิตข้าวโพดในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ และไซบีเรียที่ก่อนน้านี้มีอุปสรรคด้านภูมิอากาศสำหรับการเพาะปลูกข้าวโพดแทบจะเป็นไปไม่ได้มาก่อน นักวิจัยเชื่อว่า ผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของรัสเซีย การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์รัสเซียในอนาคตที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ และการปรากฏเชื้อโรคร้ายจากการผลิตโดยใช้ยาปฏิชีวนะมหาศาล รายงานวิจัยหลายฉบับ แสดงให้เห็นว่า การใช้ยาโดยปราศจากการควบคุมในรัสเซีย อัตราการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์สูงกว่ายุโรปประมาณ ๑๕ ถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์ จนกรมปศุสัตว์รัสเซียจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทต่อการควบคุมปัญหานี้ สภาดูมากำลังพิจารณากฏหมายที่ยกเลิกยาปกิชีวนะจากรายการยา OTC รวมถึง รัฐบาลรัสเซียกำลังปรับปรุงระบบการควบคุมด้านสัตวแพทย์ต่อการตลาดภายในประเทศ เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์

แหล่งข้อมูล        World Poultry (25/1/16) 









เชื้อ บาซิลลัส เอฟ ซ่อนอยู่ในแผ่นน้ำแข็งแถบไซบีเรียเป็นเวลาหลายล้านปีมาแล้ว










การค้นพบครั้งนี้อาจพลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกในรัสเซีย



วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

กล้องตรวจจับแคมไพฯในโรงเรือนเลี้ยงไก่

การตั้งกล้องภายในโรงเรือนเลี้ยงไก่เนื้อจะช่วยแจ้งสถานะฝูงไก่ว่า มีผลบวกต่อเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์หรือไม่ โดยให้ก่อนการจับไก่ได้ ๑๐ วัน งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ต เผยความเชื่อมโรงระหว่างจำนวนครั้งของการเคลื่อนที่ไก่ในโรงเรือน และโอกาสในการพบเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์
           การวิเคราะห์ผลทางจุลชีววิทยาจากตัวอย่าสำลีป้ายเชื้อจากมูลสัตว์ จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เพิเศษ และผลต้องใช้เวลาราว ๓ วัน แต่วิธีการใหม่นี้ แสดงให้เห็นว่า สามารถตรวจสอบฝูงที่มีโอกาสมีผลเป็นบวกได้แบบ Real time โดยใช้ซอฟท์แวร์ตรวจติดตามพฤติกรรมของไก่ในฝูง
               คณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ดตั้งกล้องไว้ ๔ ตัวในโรงเรือน ๓ แห่งจากบริษัทผู้ผลิตสัตว์ปีกในสหราชอาณาจักร พบว่า ฝูงที่มีการเลี้ยงแบบรวมเพศไม่ว่าจะเป็น รอส ๓๐๘ หรือคอบ ๕๐๐ ทั้งสองสายพันธุ์สามารถเลี้ยงได้ตามเป้าหมายความหนาแน่นที่ ๓๘ กิโลกรัมต่อตารางเมตร โดยใช้ข้อมูลจากการตรวจจับภาพอย่างต่อเนื่อง (Optical flow data) จากกล้องบันทึกภาพทั้งสี่ตัวตั้งแต่วันที่ ๒ ถึง ๓๐ ก่อนที่จะมีการจับไก่ระบาย
               ผลการทดสอบเชื้อซัลโมเนลลาในวันที่ ๒๑, ๒๘ และ ๓๕ เปรียบเทียบกับอัตราการเคลื่อนไหวของไก่ นักวิจัยสามารถแสดงให้เห็นว่า ฝูงที่มีการเคลื่อนที่สม่ำเสมอน้อยกว่า และเคลื่อนที่โดยภาพรวมน้อยกว่าให้ผลเป็นบวกต่อแคมไพโลแบคเตอร์ที่สูงกว่า ผลการวิจัยนี้ตีพิมพ์ในประมวลผลการวิจัย Proceedings of the Royal Society ให้คำอธิบายว่า ไก่ที่เคลื่อนที่น้อยก็มีแนวโน้มที่จะเก็บกักเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ไว้ในร่างกาย แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ความจริงแล้วการเคลื่อนที่น้อยลงนั้นอาจเป็นสาเหตุให้สุขภาพไก่ในฝูงแย่ลงก็ได้ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยโน้มนำให้ไก่มีโอกาสติดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ง่ายขึ้น หรือเชื้อแคมไพฯเองส่งผลต่อสุขภาพของไก่จนทำให้ไก่ไม่อยากจะลุกเดินไปไหนก็ได้   
ศ. Marian Dawkins ผู้เขียนผลการวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้มีหลักฐานทางสถิติที่ชัดเจนเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมไก่ในฝูง และสถานะของแคมไพโลแบคเตอร์ โดยเชื้อแคมไพฯน่าจะส่งผลต่อสุขภาพของไก่มากกว่าที่นักวิชาการคาดไว้มาก่อน ดังนั้น การใช้ข้อมูลจากการตรวจจับภาพต่อเนื่องจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อไปสำหรับการจัดการเลี้ยงไก่เชิงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ของผู้ผลิต ผู้บริโภค และตัวไก่ที่เลี้ยง ผู้จัดการฟาร์มสามารถเข้าถึงข้อมูลได้แบบ Real time จึงช่วยเตือนให้ทราบว่า ฝูงไก่ฝูงใดมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ และปัญหาสวัสดิภาพสัตว์ แล้วดำเนินการแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม

แหล่งข้อมูล        World Poultry (22/1/16) 

บทบาทของ Feed Additives ต่อการควบคุมแคมไพโลแบคเตอร์

ผลการศึกษาใหม่แสดงให้เห็นโอกาสในการใช้สารเติมอาหารสัตว์เพื่อลดการติดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในฟาร์มไก่เนื้อ
               เนื้อสัตว์ปีกเป็นแหล่สำคัญของโรคติดเชื้อซัลโมเนลลาในมนุษย์ ที่เป็นโรคสัตว์สู่คนที่พบได้บ่อยที่สุดตามรายงานของสหภาพยุโรป ความชุกของเชื้อแคมไพโลแลคเตอร์ในฟาร์มไก่เนื้อสูงถึง ๗๑ เปอร์เซ็นต์ตามรายงานใน EFSA พบว่า ผู้ป่วยโรคติดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ และลิสทีเรียเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งนับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๗ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ เป็นต้นมา ที่มีผู้ป่วยโรคติดเชื้อซัลโมเนลลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นครั้งแรก
               การคัดเลือกผลิตภัณฑ์สารเติมอาหารสัตว์ ๒๔ ชนิด ยังไม่มีชนิดใดที่สามารถป้องกัน หรือลดปริมาณเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในไก่เนื้อได้ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาหลายครั้ง ทดสองผลิตภัณฑ์โดยการเติมอาหารสัตว์ หรือน้ำเพื่อลดเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในฟาร์ม โดยมีวิธีการออกแบบการทดลองแตกต่างกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบผลกันได้ ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการคัดเลือกผลิตภัณฑ์สารเติมอาหารสัตว์ ๒๔ ชนิดที่มีการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ หรือกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อลดปริมาณเชื้อในไส้ตันระหว่างการเลี้ยงจนถึงจับไก่
                ผลิตภัณฑ์เติมอาหารสัตว์ ๒ ชนิดที่ประกอบด้วย กรดอินทรีย์ หรือกรดไขมัน โมโนไกลซีไรด์ สารสกัดจากพืช พรีไบโอติก หรือโปรไบโอติก สำหรับสารเติมอาหารสัตว์แต่ละชนิดนั้น ไก่เนื้อที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ เจจูไน ป้อนอาหารที่ไม่มีการเติมสารใด (กลุ่มควบคุม) หรืออาหารที่เสริมด้วยผลิตภัณฑ์เติมอาหารสัตว์ (กลุ่มควบคุม) แล้วทดสอบปริมาณเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ในแต่ละกลุ่มเปรียบเทียบสามครั้ง ไม่มีกลุ่มทดลองใดสามารถป้องกันการสร้างนิคมของแคมไพโลแบคเตอร์ และมีความแปรปรวนค่อนข้างสูง ที่อายุ ๑๔ วัน กลุ่มการทดลอง ๘ กลุ่ม สามารถลดการปนเปื้อนของเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ลงได้ ๒ ล็อก ซีเอฟยูต่อกรัมเทียบกับกลุ่มควบคุม ที่อายุ ๓๕ วัน ๓ กลุ่มทดลองยังสามารถลดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญโดยลดได้ดีที่สุด ๑.๘๘ ล๊อก ซีเอฟยูต่อกรัม ที่อายุ ๔๒ วัน มีเพียงกลุ่มเดียวที่ใช้กรดไขมันสายสั้นที่ยังมีประสิทธิภาพลดเชื้อลงได้มากกว่า ๒ ล็อก ซีเอฟยูต่อกรัม นอกจากนั้น โปรไบโอติก และพรีไบโอติก ยังสามารถลดการปนเปื้อนลงได้สูงที่สุด ๓ ล็อก เอฟยูต่อกรัมที่อายุ ๔๒ วัน
               ผลการวิจัยนี้สร้างความหวังให้กับนักวิจัยต่อการใช้สารเติมอาหารสัตว์เพื่อลดการติดเชื้อซัลโมเนลลาในฟาร์ม อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการหลายวิธีร่วมกันที่ทุกระดับของการผลิตเนื้อไก่จึงจะให้ผลที่ดีที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค การวิจัยครั้งนี้เป็นโครงการใหญ่ชื่อว่า แคมไพโบร สนับสนุนโดยสหภาพยุโรปตามโครงการวิจัย และพัฒนา โดยดำเนินการวิจัยโดยหน่วยวิจัยที่ฝรั่งเศส สเปน และเนเธอร์แลนด์

แหล่งข้อมูล        World Poultry (26/1/16) 

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...