ปัญหาผิวหนังอักเสบที่อุ้งเท้า (Food pad dermatitis,
FPD; Pododermatitis) เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของสวัสดิภาพสัตว์ในไก่เนื้อที่สหภาพยุโรปกำลังพิจารณาในการกำหนดมาตรฐานไว้ในบทบัญญัติสหภาพยุโรปสำหรับไก่เนื้อ
(EU Broiler directive) วัสดุรองพื้นที่เปียกเป็นผลมาจากระบบย่อยอาหารที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการพัฒนารอยโรค
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิวหนังบริเวณอุ้งเท้า
โภชนาการที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญในการป้องกันการก่อรอยโรค
การใช้แร่ธาตุธรรมชาติร่วมกับผลิตภัณฑ์ส่งเสริมภูมิคุ้มกันช่วยลดปัญหา
และป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนของรอยโรคได้
ปัญหาผิวหนังอักเสบที่อุ้งเท้า
(FPD) เป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับสวัสดิภาพสัตว์
โดยเฉพาะในไก่เนื้อ และไก่งวง ที่เลี้ยงบนวัสดุรองพื้นโรงเรือน
ไก่จึงมีโอกาสพัฒนารอยโรคที่เท้าในระดับต่างๆตามคุณภาพของวัสดุรองพื้น
อ้างถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์แล้ว การเกิดรอยโรคดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสองในห้าของหลักการความเป็นอิสระทั้งห้า
(Five freedoms) ได้แก่ อิสระจากความไม่สบายกาย
(Discomfort) และอิสระจากความเจ็บปวด การบาดเจ็บ และโรค
ความจริงแล้ว ยังส่งผลกระทบอีกข้อหนึ่งเพิ่มเติมคือ
อิสระที่จะแสดงพฤติกรรมปรกติที่ทำให้ไก่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ตามปรกติ
อ้างอิงตามหลักการของสภาที่ปรึกษาด้านสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มว่า
ด้วยหลักสวัสดิภาพไก่เนื้อ (Farm Animal Welfare Advisory Council Code of
Practice for the Welfare of Broiler Chickens) แล้ว
ผู้เลี้ยงสัตว์ต้องตรวจสอบปัญหาเป็นประจำทุกวัน และปรึกษานักโภชนาการ
และสัตวแพทย์ในการควบคุมโรคเหล่านี้
และจำเป็นต้องตระหนักถึงการสะท้อนปัญหาจากโรงงานแปรรูปที่โรงฆ่าว่า
คุณภาพของเท้าไก่ในฟาร์มเป็นอย่างไร
รอยโรคผิวหนังอักเสบที่อุ้งเท้า
(FPD) มีสาเหตุมาจากวัสดุรองพื้นที่เปียก
และเหนียวติดตามนิ้ว และอุ้งเท้าไก่ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย
และเกิดเป็นแผลพุพองขึ้นที่เท้า แอมโมเนียเกิดจากมูลไก่ในวัสดุรองพื้น
และมีความเชื่อมโยงกับแผลพุพอง (Extra burn effect) ที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
รอยโรคเริ่มต้นมาจากแผลถลอก (Erosion) ที่พื้นผิวของฝ่าเท้า
เมื่อรอยโรคเริ่มปรากฏแล้ว รอยโรคจะลุกลามต่อไปจนเกิดเป็นแผลพุพองสีดำ (Black
blister-like formation) ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจเหนี่ยวนำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง
ไก่ไม่อยากจะลุกเดิน ดังนั้น จึงลดการกินอาหาร และน้ำลงได้
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้ว
ผลกระทบของ FPD
ยังมีความสำคัญมากทางด้านสวัสดิภาพสัตว์ ในปี ค.ศ. ๒๐๐๕ สหภาพยุโรป
ได้เสนอให้มีการใช้อุบัติการณ์ของ FPD ในไก่เนื้อเป็นตัวบ่งชี้สถานภาพสวัสดิภาพสัตว์ของไก่ในฟาร์ม
และจะนำมาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการกำหนดความหนาแน่นของการเลี้ยงไก่เนื้อในฟาร์มต่อไป
ระบบการให้คะแนนได้มีการเผยแพร่แล้วทั้งในไก่เนื้อ
และไก่งวงโดยคำนึงถึงความรุนแรงของรอยโรคในฟาร์ม ในบางประเทศแถบสแกนดิเนเวีย
สวัสดิภาพสัตว์มีการตรวจติดตามโดยอาศัยคะแนนของ FPD และฟาร์มที่เกิดปัญหารุนแรงอาจต้องตัดสินใจทำลายสัตว์ทิ้ง
โดยไม่ส่งเข้าโรงงาน แม้ว่าจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับเจ้าของฟาร์มก็ตาม
ทางด้านเศรษฐกิจแล้ว
ผลกระทบของ FPD ก็มีความสำคัญมาก เนื่องจาก
ไก่ไม่พยายามเดินไปกินอาหาร และน้ำ ดังนั้น
หากเปรียบเทียบกับฟาร์มที่ไม่เกิดปัญหาแล้วจะต่ำกว่ากันมาก ในประเทศแถบเอเชีย มีการจำหน่ายเท้าไก่ถือเป็นอาหารที่มีรสชาดอันโอชะก็จะยิ่งเกิดความเสียหายเนื่องจากคุณภาพสินค้า
รายงานผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลกระทบต่ออุบัติการณ์
และความรุนแรงของ FPD ได้แก่ ฤดูกาล โดยพบว่า FPD มีความชุก
และความรุนแรงในฤดูหนาวมากกว่าฤดูร้อน (De Jong, 2011) เป็นผลมาจากข้อมูลที่รวบรวมจากประเทศเดนมาร์ก
และสวีเดน ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๐๒ ถึง ๒๐๑๐
อาจเป็นผลมาจากการระบายอากาศที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดรอยโรค เนื่องจาก
การปลดปล่อยแอมโมเนียจากวัสดุรองพื้น การปรากฏของแบคทีเรียบางชนิดในโรงเรือน
โดยเฉพาะ สแตไฟโลคอคคัส และ อี. โคลัย
สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนของรอยโรค ความรุนแรงของปัญหาเพิ่มขึ้น
และยังทำให้เกิดข้อต่ออักเสบได้อีกด้วย ระบบการให้น้ำ ระบบการกกลูกไก่
การระบายอากาศ การให้แสง และความหนาแน่นในการเลี้ยง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุบัติการณ์โรค
FPD
มุมมองด้านอาหารสัตว์
วัตถุดิบอาหารสัตว์บางชนิดเป็นที่ทราบกันดีว่า
เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาโรค FPD เนื่องจาก
เป็นสาเหตุทำให้วัสดุรองพื้นเปียก และเป็นปัจจัยโน้มนำให้เกิดการพัฒนารอยโรค
วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโปแตสเซียมสูง เช่น ถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง
สามารถเป็นสาเหตุทำให้ถ่ายเป็นน้ำเหนี่ยวนำให้คุณภาพวัสดุรองพื้นแย่ลง เนื่องจาก
ผลกระทบทางลบของการดึงโปแทสเซียม และน้ำกลับสู่ทางเดินอาหาร
การกินโพลีแซคคาไรด์กลุ่มที่ไม่ใช้แป้ง (Non-starch polysaccharide, NSP) จากธัญพืช เช่น ข้าวสาลี
และข้าวบาร์เลย์ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดวัสดุรองพื้น เนื่องจาก
ภาวะเสียสมดุลของแบคทีเรียในทางเดินอาหาร (Dysbacteriosis) เหนี่ยวนำให้ถ่ายเป็นน้ำ
และอาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียก่อโรค
โปรตีนที่ย่อยได้ไม่ดียังเป็นการเพิ่มระดับของไนโตรเจน
และเกิดแอมโมเนียเพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุของแผลพุพองที่เท้า รายงานผลการวิจัย
แสดงให้เห็นถึง การประยุกต์ใช้สารเสริมในอาหารสัตว์ เช่น แร่ธาตุอินทรีย์ (Organic
minerals) เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของผิวหนัง
และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
การป้องกันรอยโรค และการติดเชื้อ
การป้องกันเป็นวิธีที่ต้องการมากที่สุด
นอกเหนือจาก การลดความจำเป็นสำหรับการบำบัดรักษาทางสัตวแพทย์แล้ว
แต่ยังเป็นการรักษาอุ้งเท้าของไก่ให้สวยงาม ปราศจากแผลเป็น
ป้องกันการปลดซากที่โรงฆ่า และความเสียหายทางเศรษฐกิจอื่นๆ รวมถึง
การปฏิบัติงานที่สอดคล้องตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์
ในการรักษาความแข็งแรงของอุ้งเท้า
โภชนะที่เหมาะสมจึงมีความจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนังอันเป็นการป้องกันการพัฒนารอยโรค
ผลการทดลองในอาหารไก่งวงที่มีการเสริมแร่ธาตุอินทรีย์
หรืออนินทรีย์ อุบัติการณ์ของโรค FPD มีการตรวจติดตาม และรายงาน
ไก่ที่ได้รับอาหารสัตว์สูตรควบคุม และเสริมแร่ธาตุอนินทรีย์ที่ประกอบด้วย Cu
plus ที่ระดับ 15 ppm ผสมกับธาตุสังกะสี 60
ppm และธาตุเหล็ก แมงกานีส และเหล็ก หรือแร่ธาตุอินทรีย์ที่มีการผสม
Bioplex Cuplus ที่ระดับ 10 ppm และ Bioplex
Zn, Fe และ Mn ในแต่ละกลุ่มการทดลองใช้ไก่จำนวน
๙๖ ตัวต่อกลุ่ม ผลการทดลอง พบว่า ที่อายุ ๑๒ สัปดาห์
ไก่งวงที่ได้รับสูตรอาหารสัตว์ที่ผสมแร่ธาตุอินทรีย์ ไม่มี FPD ที่เท้า ขณะที่กลุ่มควบคุมมีคะแนนอย่างน้อย ๑
(แผลพุพองแบบอ่อนที่ขาข้างหนึ่ง) โดยมีสัตว์ตัวหนึ่งที่มีแผลพุพองทั้งสองเท้า (คะแนน
๒)
ผลการทดลองแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของผิวหนังที่ดีกว่าในไก่งวงที่ให้สูตรอาหารสัตว์ที่ผสมแร่ธาตุอินทรีย์
แม้ว่าจะมีการเติมในอัตราส่วนที่น้อยก็ตามที นอกเหนือจากนั้น
ยังมีรายงานการวิจัยอื่นๆที่สนับสนุนบทบาทของแร่ธาตุอินทรีย์ต่อพัฒนาการของผิวหนังในไก่เนื้อ
บทบาทของไบโอทิน สังกะสี
และแมนแนนโอลิโกแซคคาไรด์ (Mannan-oligosaccharides)
เป็นสารเสริมภูมิคุ้มกันต่ออุบัติการณ์ของโรค FPD ในไก่งวง ไม่พบว่าความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของคะแนน FPD บนวัสดุรองพื้นที่แห้ง
ไม่ว่าจะมีการใช้สูตรอาหารสัตว์ใดก็ตามเปรียบเทียบกับไก่เนื้อที่เลี้ยงบนวัสดุรองพื้นที่เปียก
สามารถเสริมประสิทธิภาพได้โดยการเสริมเอนไซม์ช่วยให้สามารถย่อยโปรตีนได้ดีขึ้น
หรือใช้แหล่งโปรตีนที่สามารถย่อยได้ขึ้น
การใช้เอนไซม์บางชนิดช่วยลดความหนืดของอาหารในลำไส้
และลดความหนืดของอาหารลงก็สามารถลดอุบัติการณ์ของแผลที่อุ้งเท้าได้ โดยเฉพาะ
ไก่ที่อายุมาก
นอกจากนั้น บทบาทของระดับโปรตีน
และการเติมเอนไซม์ต่อโรค FPD
ในไก่เนื้อ ก็แสดงให้เห็นว่า
ไก่เนื้อที่ใช้สูตรอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูงจะเพิ่มอุบัติการณ์
และความรุนแรงของโรค FPD โดยการใช้เอนไซม์ในอาหารสัตว์สามารถช่วยลดปัญหาลงได้จากการเพิ่มความสามารถในการย่อยได้ของโปรตีน
และลดการปลดปล่อยแอมโมเนียจากวัสดุรองพื้น (Nagaraj, 2006)
นวัตกรรมด้านอาหารสัตว์
การใช้นวัตกรรมด้านอาหารสัตว์
สามารถป้องกัน หรือบรรเทาโรค FPD ได้
โดยการใช้แร่ธาตุตามธรรมชาติที่ส่งเสริมให้เกิดความแข็งแรงของผิวหนังช่วยลดความรุนแรงของรอยโรค
นอกเหนือจากนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น แมนแนนโอลิโกแซคคาไรด์
ช่วยป้องกันการติดเชื้แทรกซ้อที่รอยโรค
การใช้โปรตีนคุณภาพดีที่สามารถย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพมีผลต่อการสร้างแอมโมเนียจากวัสดุรองพื้น
ลดแผลพุพองที่ฝ่าเท้า และการใช้โปรตีนในรูปแบบที่ย่อยได้ดีขึ้น
หรือการเติมเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนยังช่วยลดอุบัติการณ์ของรอยโรคลงได้
การป้องกันวัสดุรองพื้นไม่ให้เปียกโดยการใช้โพลีแซคคาไรด์กลุ่มที่ไม่ใช้แป้ง (NSP)
ในอาหารสัตว์จากกลุ่มธัญพืชโดยการเติมเอนไซม์กลูคาแนส
และหรือไซลาเนส (Glucanase and/or xylanase) ช่วยป้องกันการพัฒนารอยโรคตั้งแต่เริ่มต้น
การใช้ยุทธศาสตร์ด้านอาหารสัตว์หลายๆวิธีร่วมกันช่วยป้องกันโรค FPD ลงได้ เป็นการลดการปลดซากที่โรงฆ่าได้
และส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ที่เลี้ยงบนวัสดุรองพื้น
แหล่งที่มา: Jules Taylor Pickard and Peter
Spring