วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทำไม? วัคซีนซัลโมฯทำให้เลือดออกที่ตับ

บทความก่อนหน้านี้ด้านมืดของวัคซีนซัลโมฯก่อโรคเลือดออกที่ตับในสหรัฐฯ  ความจริงแล้ว การตรวจพบรอยโรคเลือดออกที่ตับไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวัคซีนซัลโมฯได้เลย มโนไปถึงไวรัสอะไรแปลกๆไว้ก่อนดีไหม? แต่รายงานฉบับนี้ได้สอบสวนโรคตั้งแต่ประวัติสุขภาพ อาการทางคลินิก รวมถึง การวินิจฉัยทางพยาธิวิทยา และเทคนิคอิมมูโนฮิสโตเคมีจนพบความเชื่อมโยงระหว่างโรค และการให้วัคซีนซัลโมฯ ผู้วิจัยได้อธิบายสาเหตุไว้หลายประการ ได้แก่ การปรากฏของสารอะมัยลอยด์ บ่งชี้ถึง ปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะเลือดออกอาจเป็นผลมาจากสารแอดจูแวนท์ที่เป็นส่วนประกอบในการเตรียมวัคซีนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด องค์ประกอบทางเคมีในแอดจูแวนท์สามารถกระตุ้นภาวะภูมิคุ้มกันไวเกินตอบสนองต่อแอนติเจนโดยกระตุ้นการอักเสบ เมื่อมีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดยังสามารถทำลายเนื้อเยื่อ โดยเฉพาะ เซลล์บุหลอดเลือด หรือสารพิษชนิดเอนโดทอกซินจากเชื้อแบคทีเรียกระตุ้นสารสื่อการอักเสบและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดที่สูงผิดปรกติ โดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ปฏิกิริยาชวาสซ์แมน (Schwartzman reaction) ตามระบบ สาเหตุต่างดังกล่าวเหล่านี้เพียงพอต่อการทำลายเซลล์บุหลอดเลือดทั่วไป รวมถึง ภาวะ DIC (disseminated intravascular coagulation)    
        รอยโรคภายนอก และภายใต้กล้องจุลทรรศน์ของตับที่พบในไก่รุ่นตามรายงานฉบับนี้ คล้ายคลึงกับที่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเนื้อตายที่ตับในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นผลมาจากการหลั่งออกมากเกินไปของสาร reactive oxygen metabolites และ lysosomal enzyme ที่หลั่งออกมาจากนิวโทรฟิล และคัฟเฟอร์เซลล์ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS การคัดหลั่งของสารกลุ่ม immunomodulators เช่น ไซโตไคน์ TNF-a IFN-g โดยเฉพาะ IL-1 มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการทำลายเซลล์บุผนังหลอดเลือด การเกิดตะกอนสารภูมิคุ้มกันภายในหลอดเลือด (intravascular immune precipitates) และการจับกลุ่มของเม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ส่งผลให้เกิดเลือดแข็งตัวภายในหลอดเลือด (intravascular coagulation) และภาวะ thrombosis เหนี่ยวนำให้เกิดเนื้อตาย และเลือดออกในอวัยวะบางแห่งขึ้นกับชนิดของสัตว์ นอกจากนั้น มีรายงานว่า เอนโดทอกซิน บางชนิดมีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนอินซูลินทำให้ออกซิเจน และสารอาหารบางชนิด เช่น กลูโคส กรดอะมิโน และกรดไขมันภายในเนื้อเยื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ภาวะออกซิเจนน้อยกระตุ้นให้เกิดการสลายไกลโคเจน และมีการสะสมของกรดแลกติก    
          บทสรุปสำหรับการใช้วัคซีนสำหรับควบคุมโรคติดเชื้อซัลโมเนลลาในไก่ที่เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมการติดเชื้อซัลโมเนลลา เป็นที่ยอมรับว่าสามารถป้องกันการสร้างนิคมของเชื้อ และลดการขับถ่ายเชื้อ นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่ออุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกมาก ลดการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ลดการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม และคุ้มครองสุขภาพผู้บริโภค โดยเฉพาะ วัคซีนเชื้อตาย ที่เชื่อว่า มีความปลอดภัย ไม่ต้องกังวลต่อเชื้อที่มีชีวิตเหมือนวัคซีนประเภทอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในความสว่างไสว ย่อมมีด้านมืด เนื่องจาก ไก่บางตัวอาจเกิดผลข้างเคียงต่อวัคซีนดังที่ปรากฏในกลุ่มอาการพยาธิสภาพของตับแบบเลือดออก (hemorrhagic hepatopathy syndrome) จากภาวะภูมิคุ้มกันไวเกินได้ นับเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการสอบสวนโรค ตัวอย่างกรณีดังกล่าว ไม่มีไวรัส โปรโตซัว รา หรือแบคทีเรียใดๆทั้งสิ้น สาเหตุของโรคมาจากภูมิคุ้มกันต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง 
แหล่งข้อมูล

Carnaccini S, Shivaprasad HL, Cutler G, Bland M, Meng XJ, Kenney SP, Bickford AA, Cooper G, Charlton B, and Sentíes-Cué CG. 2016. Characterization of Seven Outbreaks of Hemorrhagic Hepatopathy Syndrome in Commercial Pullets Following the Administration of a Salmonella Enteritidis Bacterin in California. Avian Dis. 60(1): 33-42.  
ภาพที่ ๑ ด้านซ้ายแสดงรอยโรคที่กล้ามเนื้อหน้าอกตรงตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน สังเกตเศษเอกซูเดตชนิด Caseonecrtotic exudate ด้านขวา แสดงรอยโรคที่กล้ามเนื้อขาตรงตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน












วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ด้านมืดของวัคซีนซัลโมฯก่อโรคเลือดออกที่ตับในสหรัฐฯ

สูตรสำเร็จยาสามัญประจำบ้านสำหรับการควบคุมซัลโมเนลลาคือ วัคซีนเชื้อตาย หรือแบคเทอรินต่อเชื้อซัลโมเนลลา เมื่อมีด้านสว่างก็ย่อมมีด้านมืด ดังกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯเมื่อเร็วๆนี้ ช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึง พ.ศ.๒๕๕๘ ปีที่แล้ว เกิดการระบาดของกลุ่มโรคพยาธิสภาพของตับเลือดออก (Hemorrhagic hepatopathy syndrome) ในฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ ๗ แห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ฟาร์มที่เกิดโรคพบว่า ไก่ตายสูงผิดปรกติเล็กน้อยภายหลังการให้วัคซีนชนิดแบคเทอรินต่อเชื้อ ซัลโมเนลลา เอนเทอไรทิดิส สายพันธุ์ของไก่ที่เกิดโรคเป็น เอชแอนด์เอ็น และลอห์แมนน์ไวท์ วิธีการให้วัคซีนมีทั้งการฉีดเข้ากล้ามเนื้ออก หรือใต้ผิวหนังในบริเวณขาระหว่างอายุ ๑๑ ถึง ๑๘ สัปดาห์ อาการทางคลินิกเริ่มตั้งแต่ไม่แสดงอาการจนถึงขาพิการ ไม่พยายามเดิน ท้องเสียเป็นสีเขียว ขย้อนอาหาร อัตราการตายระหว่าง ๐.๑๖ ถึง ๑.๓๘ เปอร์เซ็นต์ต่อสัปดาห์ โดยอัตราการตายสูงที่สุด ๒ ถึง ๓ สัปดาห์ภายหลังการให้วัคซีน แล้วลดลงอย่างรวดเร็ว ผลการผ่าซาก พบว่า ตับโต โดยมีเลือดออกกระจายทั่วไป และหย่อมเนื้อตายสีซีด เลือดออกรุนแรงในลำไส้ หัวใจ และกระเพาะแท้ในไก่บางตัว จุลพยาธิวิทยา พบกล้ามเนื้ออักเสบแบบแกรนูโลมาที่มีเซลล์ยักษ์ล้อมรอบ และลุกลามเข้าสู่กล้ามเนื้อชั้นลึกลงไป และใต้ผิวหนังตรงตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน กล้ามเนื้ออักเสบ พบแวคิวโอลใสที่ให้ผลบวกต่อการย้อมลิปิดด้วยสีย้อมพิเศษ Oil Red O หยดของสี Oil Red O พบได้ในตับ และลำไส้ที่เกิดรอยโรค การย้อมด้วยสีพิเศษ Congo red บ่งชี้ว่ามีการปรากฏของสารอมัยลอยด์ปริมาณปานกลางถึงรุนแรงในกล้ามเนื้ออก และปานกลางในตับ ม้าม และลำไส้ การตรวจสอบแอนติเจนของเชื้อซัลโมเนลลาสามารถพบได้ในตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน และตับโดยอาศัยเทคนิคอิมมูโนฮิสโตเคม ไม่พบเชื้อไวรัส หรือสารพิษใดๆจากตัวอย่างตับ ม้าม ลำไส้ และกล้ามเนื้อหน้าอก และสามารถตรวจพบเชื้อแบคทีเรียได้บ้างเชื่อว่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงภายหลังการตายของสัตว์    
แหล่งข้อมูล
Carnaccini S, Shivaprasad HL, Cutler G, Bland M, Meng XJ, Kenney SP, Bickford AA, Cooper G, Charlton B, and Sentíes-Cué CG. 2016. Characterization of Seven Outbreaks of Hemorrhagic Hepatopathy Syndrome in Commercial Pullets Following the Administration of a Salmonella Enteritidis Bacterin in California. Avian Dis. 60(1): 33-42

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การเลี้ยงไก่เนื้อบนกรงระบบอัตโนมัติ

ปัจจุบันการผลิตไก่เนื้อเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย ไก่เนื้อนิยมเลี้ยงบนวัสดุรองพื้นภายในโรงเรือน แต่การใช้กรงเลี้ยงไก่ก็กำลังเป็นกระแสนิยมเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ มีเว็บไซต์ต่างประเทศนำเสนอกรงเลี้ยงไก่เนื้อระบบอัตโนมัติในรูปแบบต่างๆ เนื่องจาก ตัดปัญหาเรื่องการสรรหาวัสดุรองพื้นไม่ว่าจะเป็นแกลบ หรือขี้กบ และประหยัดพื้นที่สำหรับการเลี้ยงไก่ การควบคุมการปนเปื้อนเชื้อโรคที่มากับดินน้อยลง และช่วยลดปัญหาแมลงปีกแข็ง หากออกแบบระบบได้ดี ช่วยให้การจัดการจับไก่ และเคลื่อนย้ายไก่เข้าสู่โรงฆ่าเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสายพานลำเลียงแบบอัตโนมัติ ช่วยลดแรงงานการจับไก่                         อย่างไรก็ตาม มุมมองด้านสวัสดิภาพสัตว์ค่อนข้างเป็นลบต่อการเลี้ยงไก่เนื้อในกรงเช่นเดียวกับการเลี้ยงไก่ไข่บนกรงตับ การเลี้ยงไก่เนื้อในกรงอาจส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของกระดูก เนื่องจาก ไก่จะไม่มีโอกาสออกกำลังกายได้ตามปรกติ ขนร่วง และจำกัดการแสดงออกพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ นอกจากนั้น ยังมีข้อวิตกกังวลด้านความปลอดภัยอาหาร เนื่องจาก การใช้กรงเลี้ยงไก่ เมื่อเร็วๆนี้ นักวิชาการได้เตือนให้ผู้เลี้ยงไก่เนื้อตระหนักถึงผลกระทบจากการเลี้ยงไก่เนื้อบนกรงที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก เนื่องจากข้อได้เปรียบหลายด้านเชิงธุรกิจ โดยให้คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ และความปลอดภัยอาหาร
             ฟาร์มเลี้ยงไก่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ไก่เนื้อนิยมเลี้ยงในระบบการเลี้ยงบนพื้น แต่การเลี้ยงบนกรงกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น สวัสดิภาพสัตว์ของไก่เนื้อที่เลี้ยงบนกรงทำให้สัตว์เคลื่อนที่ลำบาก ความแข็งแรงของกระดูกไม่ดี และสัตว์ไม่สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้ เช่น การคลุกฝุ่น และการตระกรุยพื้น ในอดีตนานมาแล้ว การเลี้ยงไก่เนื้อบนกรงเป็นสาเหตุของปัญหาผิวหนัง และขาพิการ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับสวัสดิภาพสัตว์ สิ่งแวดล้อมภายในกรงเลี้ยงไก่สามารถเลี้ยงที่ความหนาแน่นสูงขึ้นกว่าระบบพื้น และการขังกรงมีผลต่อพฤติกรรมความตื่นกลัว และความเครียดเพิ่มขึ้น ไก่ที่เลี้ยงบนพื้นจะเก็บกัก และขับเชื้อซัลโมเนลลาน้อยกว่า และวัสดุรองพื้นอาจเป็นแหล่งสำหรับเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เพื่อแก่งแย่งแข่งขันกับเชื้อโรคได้ การเลี้ยงแม่ไก่ไข่บนกรงเป็นประเด็นสำคัญที่สร้างแรงกดดันด้านสวัสดิภาพสัตว์มาแล้ว การเลี้ยงไก่เนื้อบนกรงก็คงไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมเช่นเดียวกัน
ระบบการเลี้ยงบนพื้นที่รองด้วยวัสดุรองพื้น เช่น แกลบ หรือขี้กบ เป็นที่นิยมกันทั่วไปสำหรับการผลิตไก่เนื้อ แม้ว่า กรงสำหรับการผลิตไก่เนื้อมีการจำหน่ายแพร่หลายมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยม เนื่องจาก ไก่เนื้อสายพันธุ์หนักมีแนวโน้มว่าจะเกิดปัญหาขาพิการ อกเป็นหนอง และความผิดปรกติของผิวหนัง เช่น รูขุมขนใหญ่ผิดปรกติ เนื่องจาก การเสียดสีกับพื้นกรง ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพของเนื้อไก่
                แม้ว่าจะมีอุปสรรคหลายประการ นักประดิษฐ์ก็ยังคงทุ่มเทความพยายามพัฒนาระบบกรงสำหรับการเลี้ยงไก่เนื้อตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา วัสดุสำหรับการประดิษฐ์พื้นกรงที่ผ่านการทดสอบ ได้แก่ ท่อพลาสติก พื้นพลาสติก และโลหะ ไนลอนเคลือบยาง ไม้ไผ่ ตะข่ายลวด และพลาสติก โฟมยูรีเทน และสแลตไม้ เป็นต้น ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๓ วัสดุสำหรับการประดิษฐ์พื้นกรงแบบตาข่ายได้จดสิทธิบัตร โดยช่วยแก้ไขปัญหาที่เคยประสบมาก่อน ได้แก่ อกเป็นหนอง และผิวหนังผิดปรกติ ตัวอย่างกรงขนาดใหญ่ มีพื้นเป็นไนลอนเคลือบพลาสติก ช่วยลดการเสียดสีกับผิวหนัง และผู้ผลิตอ้างว่า สามารถป้องกันปัญหาอกเป็นหนอง รูขุมขนอักเสบ และปัญหาปีก และขา การจับไก่เนื้อเข้าสู่โรงฆ่ายังสามารถพัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติ พื้นกรงสามารถเปิดออกให้ไก่หล่นลงบนสายพานด้านล่างเพื่อเคลื่อนย้ายไก่ออกทางท้ายโรงเรือน แล้วจับลงกล่องสำหรับขนส่งต่อไปยังโรงฆ่า
ในบางภูมิภาค ปัจจัยด้านเศรษฐกิจเอื้อต่อการผลิตไก่เนื้อในกรง ในประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าวัสดุรองพื้น หรือมีราคาแพงมาก การเลี้ยงไก่บนกรงจะช่วยลดต้นทุนจากทั้งการซื้อ การเคลื่อนย้าย และการทำลายวัสดุรองพื้น เนื่องจาก กรงสามารถวางซ้อนกันได้ตามแนวตั้ง ทำให้สามารถเลี้ยงสัตว์ได้จำนวนเพิ่มขึ้นหลายตัวในโรงเรือนเดียว
ในสหรัฐอเมริกา นิยมเลี้ยงไก่เนื้อขนาดใหญ่ประมาณ ๒.๕ กิโลกรัม แต่ในประเทศเขตร้อน เช่น กลุ่มประเทศริมอ่าว และซาอุดิอาระเบีย นิยมเลี้ยงไก่ที่น้ำหนักเพียง ๑.๕ กิโลกรัม เท่านั้น ดังนั้น อกเป็นหนองจึงไม่ใช่ปัญหาสำคัญสำหรับการเลี้ยงไก่เนื้อน้ำหนักน้อย ไก่เนื้อในประเทศรัสเซียมีการพัฒนาพันธุกรรมให้มีแข้งหนา และนิ้วเท้ายาวช่วยค้ำจุนน้ำหนักตัว จึงพบอุบัติการณ์ของอกเป็นหนองต่ำกว่า
               นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๑ ตลาดของระบบการเลี้ยงไก่บนกรงกำลังเติบโตในรัสเซีย ตะวันออกกลาง และประเทศแถบเอเชียหลายประเทศ รวมถึง ประเทศจีน กรงเลี้ยงไก่เนื้อยังใช้กันมมากในแอฟริกา อินเดีย และยุโรปตะวันออก แม้ว่าจะมีการศึกษาผลของการเลี้ยงไก่เนื้อในกรงต่อสวัสดิภาพของไก่เนื้อค่อนข้างน้อย แต่เท่าที่มีการศึกษาก็บ่งชี้ว่า คล้ายกับการเลี้ยงแม่ไก่ไข่ในกรง การเลี้ยงไก่เนื้อในกรงมีผลกระทบด้านสวัสดิภาพสัตว์หลายสิ่งที่ต้องคำนึง กลุ่มผู้คุ้มครองสัตว์ได้รณรงค์โครงการต่อต้านการใช้กรงในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก สวัสดิภาพของไก่เนื้อเลี้ยงบนกรงก็เป็นกลุ่มเป้าหมายเช่นเดียวกับการเลี้ยงไก่ไข่บนกรงด้วยเช่นเดียวกัน
เอกสารอ้างอิง
Council Directive. 2007. Council Directive 2007/43/EEC of 28 June 2007 laying down minimum rules for the protection of chickens kept for meat production. Official Journal of the European Union. L182/19-28.
Genesis Standard Version 3.01. Genesis GAP chicken production: Technical requirements.
OIE. 2015. Chapter 7.10. Animal welfare and broiler chickens production system. OIE-Terrestrial Animal Health Code. 1-8.
Shields S. and Greger M. 2013. Animal welfare and food safety aspects of confining broiler chickens to cages. Animals. 3: 386-400.


















ภาพที่ ๑ การเลี้ยงไก่เนื้อบนกรง (ภาพถ่ายโดย Sonia Faruqi) 

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จำชื่อไว้นะ!!! โรคใหม่ไก่แคระแกรนนามว่า “ลูกไก่ขาว”

โรคใหม่ในไก่ลงหน้าปกหราลงในวารสารวิชาการผู้ใหญ่ใจดี Avian Pathology ฉบับแรกของปี ดาวน์โหลดฟรีได้ทั้งฉบับ แต่ถ้าอยากรู้ข้อมูลต้องอ่านเอง โรคนี้เปิดเผยครั้งแรกในการประชุมวิชาการ World Veterinary Poultry Association ครั้งที่ ๑๙ เมื่อสามปีที่ผ่านมานี้เอง เจอแล้วในหลายประเทศทั้งโปแลนด์ และล่าสุดบราซิลคู่แข่งส่งออกของไทย เรียกโรคนี้ว่า ลูกไก่ขาว (White chicks)” มองแล้วแปลกตาดี เชื่อว่า ของจริงอาจปรากฏในเมืองไทยในไม่ช้านี้เตรียมไพร์เมอร์รอได้เลยครับ
               เชื้อแอสโตรไวรัส (CAstV) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารของสัตว์ปีกที่เรียกว่า กลุ่มอาการแคระแกรน (Runting-Stunting Syndrome, RSS) ส่งผลกระทบต่อลูกไก่อายุน้อย เชื้อ CAstV เป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปรกติในลูกไก่ที่เรียกว่า ลูกไก่ขาว (White chicks) โรงฟักบางแห่งในบราซิส รายงาน ปัญหาการฟัก การตาย และลูกไก่มีขนขึ้นเป็นสีขาว ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นที่มาของการเรียกชื่อโรคนี้ว่า ลูกไก่ขาว
               การตรวจสอบ และจำแนกคุณลักษณะระดับโมเลกุลของเชื้อแอสโตรไวรัสในลูกไก่ที่มีลักษณะผิดปรกติที่เรียกว่า “ลูกไก่ขาว” ในบราซิล ผลการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาลูกไก่จำนวน ๓๐ ตัว ที่มีสภาพผิดปรกติ ผลการผ่าวินิจฉัยโรค พบว่า ลูกไก่มีตับ และลำไส้ขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยของเหลว และแก๊ส (๓๐ ใน ๓๐) ตับอ่อน ไต และม้าม อวัยวะอื่นๆไม่พบรอยโรค เก็บตัวอย่างลำไส้ ตับอ่อน กระเพาะแท้ กึ๋น ตับ ม้าม เบอร์ซา ไต ไทมัส ปอด หัวใจ สมอง และไข่แดง จากลูกไก่แต่ละตัวนำมาทดสอบโรค CAstV, Chicken parvovirus (ChPV), Avian nephritis virus (ANV), Avian rotavirus (ARtV), Avian reovirus (AReoV), infectious bronchitis virus (IBV) และ Fowl adenovirus group I (FAdV01) อลังการงานสร้างแผงกลุ่มอาการแคระแกรนในไก่ครบชุด พบว่า ทุกอวัยวะ และถุงไข่แดงให้ผลเป็นบวกต่อ CAstV ในระดับไตเตอร์แตกต่างกันไป และให้ผลเป็นลบต่อทุกชนิดของเชื้อไวรัสที่นำมาทดสอบก็จะบอกว่า รายนี้มีผู้ร้ายฉายเดี่ยวไม่มีใครแจม ลักษณะทางพันธุกรรมบางส่วนของยีน ORF 1b โดยใช้ 28 sequences จากบราซิลพบว่า นิวคลีโอไทด์ และกรดอะมิโนมีความคล้ายคลึงกับเชื้อที่พบในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย อย่างไรก็ตาม CAstV ที่แยกพบจากบราซิลจัดอยู่ในกลุ่มที่มีเอกลักษณ์แยกออกมาจากกลุ่มอื่นๆ บ่งชี้ว่า เชื้อไวรัส  CAstV เป็นสาเหตุของโรคลูกไก่ขาวในบราซิลครั้งนี้ เชื้อไวรัสมีการพร่กระจายไปเกือบทุกอวัยวะ รวมถึง สมอง และไข่แดง บ่งชี้ว่า เชื้อไวรัสสามารถถ่ายทอดผ่านจากแม่สู่ลูกได้ (Vertical transmission)       



แหล่งข้อมูล        Nuñez LFN, Santander Parra SH, Carranza C, Astolfi-Ferreira CS, Buim MR and Piantino Ferreira AJ. 2016. Detection and molecular characterization of chicken astrovirus associated with chicks that have an unusual condition known as “white chicks” in Brazil. Poultry Science. 95 (6): 1262-1270.
แหล่งที่มาภาพ Sajewicz-Krukowska et al. (2015)

โปรไบโอติกกับคุณภาพเนื้ออกไก่

ข่าวล่าสุด แหนมโปรไบโอติกของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังลดเสี่ยงมะเร็งลำไส้ก็ออกมาแล้ว ถ้าใช้โปรไบโอติกผสมตั้งแต่ในอาหารสัตว์ ยังจะเหลือจุลินทรีย์ดีๆไว้ในผลิตภัณฑ์ หรือไก่จะมีสุขภาพดี ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ทำให้คุณภาพเนื้ออกไก่ ชิ้นส่วนสำคัญบนชั้นวางสินค้าดีขึ้นด้วยหรือไม่ ผลการวิจัยตีพิมพ์ลงในวารสาร Poultry Science ฉบับล่าสุดพึ่งตีพิมพ์เดือนนี้เป็นการศึกษาผลการเสริมโปรไบโอติกลงในอาหาร ต่อคุณภาพของสินค้าเนื้อหน้าอกที่วางจำหน่ายบนชั้นวางสินค้าร้านขายปลีกจะเนื้อแน่นนุ่ม เก็บได้นานขึ้นหรือไม่ 
ไก่ทดลองจำนวน ๓๕ ตัว แบ่งเป็น ๓ กลุ่มการทดลอง โดยกลุ่มควบคุมไม่เสริมโปรไบโอติก อีกสองกลุ่มการทดลองให้ สปอรูลิน ๒๕๐ พีพีเอ็ม และโพลทรีสตาร์ ๕๐๐ พีพีเอ็ม พบว่า กลุ่มทดลองที่เสริมโปรไบโอติกไม่มีผลต่อการแลกเปลี่ยนอาหาร และน้ำหนักตัวทั้งที่อายุ ๒๙ และ ๔๔ วัน (p>0.05)  ภายหลังเข้าโรงฆ่า นำตัวอย่างหน้าอกไก่ (กล้ามเนื้อ เพคโตราลิส เมเจอร์) เก็บเป็นเวลา ๑ หรือ ๕ วัน พบว่า เนื้อไก่จากไก่ที่เสริมโปรไบโอติกไม่ได้มีอิทธิพลต่ออัตราการลดของ pH ของเนื้อหน้าอกไก่ระหว่างการเก็บตั้งแต่ ๖ ชั่วโมง (p>0.05) ไม่พบความแตกต่างระหว่างคุณภาพของเนื้อระหว่างกลุ่มที่ให้ และไม่ให้โปรไบโอติก (p>0.05) ปัญหา Drip loss ภายหลังการเก็บรักษาลดลงจาก ๒๕.๓ เหลือ ๑๘.๐๕ เปอร์เซ็นต์ (p>0.05)   กลุ่มทดลองที่ให้โพลทรีสตาร์ มีดัชนีการแตกของเส้นใยกล้ามเนื้อมากกว่ากลุ่มควบคุม (p>0.05)   อย่างไรก็ตาม ค่าแรงฉีกไม่มีความแตกต่างกัน สี และความเสถียรของลิปิดในกล้ามเนื้อหน้าอกลดลงระหว่างการแสดงสินค้าบนชั้นวาง (p<0.05) แต่ไม่มีผลจากการใช้โปรไบโอติก (p>0.05) ผลการทดลองครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า การเสริมโปรไบโอติกไม่มีผลต่อการย่อยสลายโปรตีน และ Oxidative changes ระหว่างการแสดงสินค้าไว้เป็นเวลา ๕ วัน    

แหล่งข้อมูล        Kim HW, Yan EF, Hu JY, Cheng HW and Kim YHB. 2016. Effects of probiotics feeding on meat quality of chicken breast during postmortem storage. Poultry Science. 95(6): 1457-1464.

สำเร็จแล้ว!!! การแยกเพศตั้งแต่ในไข่ฟัก

เทคโนโลยีการแยกเพศตั้งแต่ในไข่ฟักจะแพร่หลายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ภายหลังการตัดด้วยเลเซอร์ แล้วยกเปลือกไข่บางส่วนออกก่อนที่จะวิเคราะห์โดยสเปคโตรโฟโตมิเตอร์ที่ห้องปฏิบัติการ Carl gustav Carus คณะแพทยศาสตร์ของสถาบัน Dresden Institue of Technology (TU Dresden) แห่งเยอรมัน และมหาวิทยาลัย Leipzig ใช้สเปคโตรสโคปีเพื่อตรวเพศของลูกไก่ในไข่ฟัก หากประสบความสำเร็จก็จะเป็นก้าวสำคัญที่โรงฟักจะยกเลิกกิจวัตรประจำวันบางประการเพื่อทำลายลูกไก่เพศผู้อายุ ๑ วัน ที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญกระตุ้นกลุ่มผู้บริโภคขึ้นมาประท้วงต่อต้าน

พลังกดดันให้ผู้ผลิตแยกเพศตั้งแต่ในไข่
               พลังกดดันที่เข้มแข็งในเยอรมัน โดยกระทรวงเกษตรแห่งเยอรมันได้ให้เงินสนับสนุนกว่า ๑๒๐ ล้านบาท เพื่อสนับสนุนงานวิจัยการแยกเพศลูกไก่ในไข่ฟักผลักดันให้ไปสู่การพาณิชย์ให้ได้ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาก กระทรวงเกษตรแห่งฝรั่งเศสก็ได้ประกาศทุนสนับสนุนกว่า ๑๒๐ ล้านบาทเช่นเดียวกัน
               โครงการวิจัยใช้ลำแสงเลเซอร์ตัดช่องกลมขนาดเล็กที่ส่วนยอดของฟองไข่ แล้วใช้กล้องสเปคโครสโคปีแบบใกล้คลื่นอินฟาเรดเพื่อตรวจหาเพศของลูกไก่โดยอาศัยปริมาณดีเอ็นเอ สำหรับไก่เพศผู้จะมีประมาณ ๒ เปอร์เซ็นต์ โดยการใช้ตาเปล่า มนุษย์ไม่สามารถสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างเพศผู้ และเพศเมีย แต่ด้วยคอมพิวเตอร์สามารถช่วยได้ หากมีการออกแบบโปรแกรมสำหรับใช้ทำงานได้สำเร็จ ปัจจุบัน คณะผู้วิจัยสามารถแยกเพศจากไข่ฟักได้โดยมีความแม่นยำสูงถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ โดยใช้เวลาไม่ถึงนาที หากไข่ฟักมีลูกไก่เพศเมีย เลเซอร์ก็จะปิดรูที่ตัดไว้ แล้วนำกลับคืนเข้าสู่ตู้บ่ม เครื่องจักรสำหรับการแยกเพศอัตโนมัตินี้คาดว่าจะนำไปใช้งานจริงปีหน้า   
               ที่ปรึกษาโครงการฟาร์มของ NFU ในสหราชอาณาจักรนาม แกรี ฟอร์ด กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับงานวิจัยที่กำลังพัฒนาอยู่หลายแห่งทั่วโลกในการแสวงหาวิธีการแยกเพศของตัวอ่อนในไข่ฟัก ตอนนี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดในวงการวิชาการ ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยชาวคานาดาสามารถตรวจสอบเพศตัวอ่อนได้โดยมีความแม่นยำสูงถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสิทธิภาพการทำงานได้ ๓,๐๐๐ ถึง ๕,๐๐๐ ฟองต่อชั่วโมง

เทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจ
               เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะมีการใช้ในเชิงพาณิชย์ได้จริงในอีก ๑๒ เดือนข้างหน้า โดยไม่มีต้นทุนสำหรับแรงงานอีกต่ไป เนื่องจาก ไข่ฟักจะถูกแยกจากกันโดยเครื่องจักร และสามารถตรวจสอบไข่ฟักที่ไม่มีเชื้อได้พร้อมกัน ดังนั้น เทคโนโลยีนี้จึงเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง นอกจากนั้น แกรี ฟอร์ด ยังเน้นว่า ไข่ฟักที่มีลูกไก่เพศผู้จะไม่ใช่ของเสียที่ทิ้งไปเฉยๆอีกต่อไป แต่จะนำมาใช้เป็นผลผลิตข้างเคียง โดยนำไปใช้เลี้ยงสัตว์เลื้อยคลาน และแรพเตอร์ในสวนสัตว์ อย่างไรก็ตาม องค์กรพิทักษ์สัตว์ได้กล่าวว่า ขณะที่ การสิ้นสุดคัดทิ้งลูกไก่เพศผู้กำลังก้าวหน้าต่อไป แต่ก็ไม่ใช่จะทำให้ไข่ฟักกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกจริยธรรมได้ การคัดทิ้งลูกไก่เพศผู้เป็นประเด็นที่อุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกไม่สามารถละเลยได้
โดย McDougal T. 2016. Commercial poultry embryo sexing a step close.


ภาพที่ ๑ ไข่ฟักภายหลังการตัดด้วยลำแสงเลเซอร์ แล้วเปิดเปลือกไข่ที่ถูกตัดออกเพื่อนำมาวิเคราะห์โดยเครื่องสเปคโตรมิเตอร์ที่ห้องปฏิบัติการ Carl Gustav Carus คณะแพทยศาสตร์แห่งสถาบัน Dresen Institute of Technology (TU Dresden)/ AFP

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การจัดการอาหารสัตว์ เพื่อลดการสูญเสียสังกะสี และทองแดง

สังกะสี และทองแดง เป็นแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ของร่างกาย และมีความจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต อย่างไรก็ตาม แร่ธาตุเหล่านี้สามารถขับถ่ายลงในมูลไก่ และสะสมจนมีระดับสูงตกค้างในดิน เป็นปัญหาที่สำคัญต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการด้านอาหารสัตว์สามารถช่วยลดผลกระทบเหล่านี้ได้
               วิธีการหนึ่งสำหรับลดปริมาณสังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์คือ การลดปริมาณของแร่ธาตุเหล่านี้ผสมในพรีมิกซ์ โดยเฉพาะ ในอาหารระยะสุดท้ายของไก่เนื้อ การหยุดการสะสมของสังกะสี และทองแดงในดินจำเป็นต้องกระทำ ๒ สิ่ง ได้แก่ ลดปริมาณมูลสัตว์ที่กระจายลงสู่พื้นดิน อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้อาจไม่เพียงพอ อีกวิธีหนึ่งคือ การลดปริมาณของสังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์ โดยทั่วไป ความต้องการสำหรับสังกะสี และทองแดงที่เติมลงในอาหารสัตว์มักเกินความจำเป็น ปริมาณแร่ธาตุที่มากเกินไปเหล่านี้จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่จะผ่านทางเดินอาหาร แล้วขับถ่ายลงสู่มูลสัตว์
               สังกะสี และทองแดง มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และต่อแร่ธาตุอื่นๆ เพื่อลดระดับของสังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทราบความต้องการของไก่ที่แท้จริง เอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้องกับความต้องการที่แท้จริงของสังกะสี และทองแดงแตกต่างกันค่อนข้างมาก บ่งชี้ว่า ความต้องการที่แท้จริงของแร่ธาตุทั้งสองยังไม่ทราบแน่ชัด การวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุที่ผสมในอาหารสัตว์มีน้อยมากเปรียบเทียบกับความต้องการพลังงาน และกรดอะมิโน เนื่องจาก การเติมแร่ธาตุในอดีตไม่ได้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์สำคัญที่ต้องนำมาพิจารณามากนัก และมีช่วงความปลอดภัยที่กว้างมาก เพื่อให้ผลการเลี้ยงที่ดี นอกเหนือจากนั้น การกำหนดความต้องการยังขึ้นกับปัจจัยที่ผู้วิจัยเลือกศึกษา เช่น อัตราการแลกเปลี่ยนอาหาร การเจริญเติบโต หรือมวลของไข่ไก่ นอกจากนั้น ความต้องการของไก่ยังขึ้นกับอายุ สุขภาพ ความเครียด และสารอาหารประเภทอื่นๆ รวมถึง สิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า สังกะสี และทองแดงมีฤทธิ์ทำปฏิกิริยาต่อกัน และต่อแร่ธาตุอื่นๆที่รุนแรงมาก หากให้สังกะสีในอาหารสัตว์ระดับสูงก็จะเหนี่ยวนำให้ขาดทองแดง โดยแร่ธาตุทั้งสองมีฤทธิ์แย่งกันดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตามแม้ว่า ระดับความต้องการที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปริมาณของสังกะสี และทองแดงที่อนุญาตให้เติมในอาหารสัตว์ปีกภายในสหภาพยุโรปก็ค่อนข้างสูงกว่าความจำเป็นของไก่ ตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรปอนุญาตให้เติมได้ไม่เกินระดับความปลอดภัย (Safety margin) เพื่อให้มั่นใจว่าจะครอบคุมความต้องการของสัตว์อย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น สังกะสีก็กำหนดไว้สูงกว่าความต้องการสองเท่ากล่าวได้ว่า ยังมีช่องว่างระหว่างระดับที่จำเป็น และที่อนุญาตไว้กว้างมาก การทำความเข้าใจระดับความต้องการที่แท้จริงของสัตว์จะเป็นประโยชน์มากต่อการลดระดับการเติมสังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์ลงได้

ตารางที่ ๑ ความต้องการสังกะสี และทองแดง โดยอาศัยการวิเคราะห์แบบ Meta-analysis และระดับที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้สำหรับสังกะสี และทองแดงในเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ
ชนิดสัตว์
ระดับความต้องการ
ระดับที่สหภาพยุโรปอนุญาต
สังกะสี
ทองแดง
สังกะสี
ทองแดง
ไก่เนื้อ (ppm)
74
6
150
25
ลูกสุกรแรกเกิดถึง 12 สัปดาห์ (ppm)
>67
4
150
170
สุกรโตเต็มวัย (ppm)
>67
4
150
25
ลูกโค (ppm)


200
15
โคโตเต็มวัย (ppm)
>25
21
150
35
หมายเหตุ             ระดับความต้องการใช้แร่ธาตุดัดแปลจาก Jongbloed และคณะ (๒๐๐๔) และระดับที่สหภาพยุโรปอนุญาตอ้างอิงมาจาก EFSA Jounal
               แนวทางการลดแร่ธาตุในอาหารสัตว์คือ การวิจัยหาความต้องการที่แท้จริงของสัตว์ แล้วลดปริมาณการเติมสังกะสี และทองแดงลงในพรีมิกซ์ โดยเฉพาะ ในอาหารไก่เนื้อระยะสุดท้าย เนื่องจาก ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บรักษาแร่ธาตุเหล่านี้ไว้ใช้ในระยะต่อไปอีกแล้ว โดยแนะนำให้ใช้ปริมาณสังกะสีลดเหลือเพียงครึ่งหนึ่งคือ จาก ๑๐๐ พีพีเอ็มเหลือ ๕๐ พีพีเอ็ม และทองแดงเหลือจาก ๑๕ พีพีเอ็มเหลือ ๗.๕ พีพีเอ็มเท่านั้น โดยไม่มีผลกระทบต่อการเลี้ยงไก่เนื้อตั้งแต่อายุ ๐ ถึง ๓๗ วัน  อีกวิธีการหนึ่งในการลดปริมาณทองแดง และสังกระสีในอาหารสัตว์คือ การเพิ่มความสามารถในการนำไปใช้ประโยชน์ได้จากคุณสมบัติของแร่ธาตุในรูปอินทรีย์ และอนินทรีย์ แร่ธาตุจากแหล่งอนินทรีย์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของออกไซด์ ซัลเฟต คลอไรด์ และคาร์บอเนต แหล่งแร่ธาตุในรูปอนินทรีย์เรียกว่า คีเลต (Chelates)” สามารถจับกับไลแกนด์ที่เป็นอินทรีย์ ได้แก่ สารผสมของกรดอะมิโน หรือเปปไทด์ขนาดเล็ก การนำไปใช้ประโยชน์ของสังกะสีในรูปอินทรีย์ได้มากกว่าอนินทรีย์กว่า ๑๕๐ เปอร์เซ็นต์ในสัตว์ปีกจากการประเมินผลโดยอาศัยการตรวจวัดปริมาณสังกะสีจากกระดูกต้นขา ส่วนทองแดงในรูปอินทรีย์เปรียบเทียบกับอนินทรีย์อาจไม่เห็นผลชัดเจนเท่าสังกะสี การใช้ประโยชน์ของคีเลตทองแดงสูงกว่าคอปเปอร์ซัลเฟต ๑๑๒ เปอร์เซ็นต์โดยอาศัยการตรวจวัดปริมาณทองแดงในตับ ซึ่งสามารถเป็นตัวบ่งชี้ความเป็นพิษของทองแดงได้ ขณะเดียวกัน การใช้สังกะสี และทองแดงร่วมกันจะไม่เกิดการแข่งขันกันในการดูดซึมเข้าสู่ทางเดินอาหาร ขณะที่ แร่ธาตุในรูปอนินทรีย์จะเกิดการแข่งขันกันดังกล่าวมาแล้ว
               ดังนั้น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังกะสี และทองแดง ดังกล่าว สามารถพบได้ต่อเมื่อใช้แร่ธาตุทั้งสองในรูปอนินทรีย์ แต่ไม่พบเมื่อใช้แร่ธาตุชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นรูปอินทรีย์ การใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้นของสังกะสี และทองแดงในรูปอินทรีย์เป็นที่น่าสนใจมาก โดยช่วยลดการเติมแร่ธาตุทั้งสองลในอาหารสัตว์ จึงทำให้การขับออกลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อการผลิตก็อาจพบได้ แต่ไม่แน่นอน ในไก่เนื้อ ผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัว แต่ไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร เมื่อใช้แร่ธาตุในรูปอินทรีย์แทนที่อนินทรีย์  ในไก่ไข่ ความแข็งแรงของเปลือกไข่ และความหนาของเปลือกไข่จะดีขึ้นโดยการใช้แร่ธาตุในรูปอินทรีย์แทนที่อนินทรีย์ ทำให้เป็นที่น่าสนใจในการใช้ในไก่อายุมาก ในไก่พันธุ์ไข่ แร่ธาตุในรูปอนินทรีย์ช่วยเพิ่มผลผลิตไข่ประมาณ ๔.๑ เปอร์เซ็นต์ และอัตราการฟักได้เพิ่มขึ้นอีก ๔.๙ เปอร์เซ็นต์

การใช้เอนไซม์ไฟเตส
               วิธีที่สามที่ช่วยลดปริมาณสังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์คือ การใช้เอนไซม์ไฟเตสที่นิยมผสมในอาหรสัตว์ เพื่อช่วยให้การประโยชน์จากฟอสฟอรัสที่ถูกจับกับไฟเตต (Phytate-bound phosphorus) อย่างไรก็ตาม สารอาหารประเภทอื่นๆ ได้แก่ กรดอะมิโน กรดไขมัน และแร่ธาตุ เช่น สังกะสี และทองแดง ก็สามารถจับไฟเตตไว้ได้ การเติมไฟเตสในอาหารสัตว์จึงมิใช่เพียงช่วยให้การใช้ประโยชน์ฟอสฟอรัสได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้สารอาหารประเภทอื่นๆถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีกด้วย ผลการศึกษามากมาย แสดงให้เห็นว่า เมื่อผสมไฟเตสในอาหารไก่เนื้อแล้ว จะช่วยให้การเก็บรักษาสังกะสี ทองแดง และแร่ธาตุอื่นๆ ได้สูงขึ้น โดย EFSA ระบุไว้ว่า การใช้ไฟเตสในอาหารสุกรสามารถลดปริมาณสังกะสีสูงสุดในอาหารสำเร็จรูปได้ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่า ผลดีดังกล่าวก็จะพบในอาหารสัตว์ปีกด้วยเช่นเดียวกัน

บทสรุป
               ระดับของสังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์สามารถลดลงได้โดยการเพิ่มความสามารถในการใช้ประโยชน์ได้ ก่อนอื่นต้องระลึกไว้เสมอว่า สังกะสี และทองแดง เป็นสารอาหารที่จำเป็น และต้องเสริมลงในอาหารสัตว์ สหภาพยุโรปกำหนดให้ใช้สังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์ในระดับที่สูงกว่าความต้องการของสัตว์ ดังนั้น สังกะสี และทองแดงในอาหารสัตว์ สามารถลดลงได้โดยการเพิ่มความสามารถในการใช้ประโยชน์ได้ โดยการผสมเอนไซม์ไฟเตส เพื่อเพิ่มการใช้ประโยชน์ได้ของสังกะสี และทองแดงที่จับกับไฟเตต นอกเหนือจากนั้น ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นได้อีกโดยการใช้สังกะสี และทองแดงในรูปอินทรีย์แทนที่อนินทรีย์ แร่ธาตุในรูปอินทรีย์อาจมิได้เพิ่มผลผลิตได้เสมอไป แต่จะช่วยให้การใช้ประโยชน์ได้สูงขึ้น ส่งผลให้การเก็บรักษาสูงขึ้น และลดการขับแร่ธาตุออกจากร่างกาย

               ผลการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานวิจัยที่นำเสนอระหว่างการประชุมวิชาการเฉพาะกลุ่มด้านโภชนาการสัตว์ปีกในสหภาพยุโรปที่จัดโดยบริษัทโนวัส ณ กรุงปราก เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘

แหล่งที่มาของภาพ Jan Willem Schouten


















 

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...