วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิจัยเตือนภัย!!! เชื้อดื้อยาในปุ๋ยมูลสัตว์

คนรักสวน ปุ๋ยมูลสัตว์ เช่น ปุ๋ยมูลไก่ ปุ๋ยมูลโคกระบือ นิยมใช้บำรุงดินในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตามกระแสความนิยมการเพาะปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ประหยัด และผูกพันกับธรรมชาติ แต่อีกด้านหนึ่ง การใช้ปุ๋ยมูลสัตว์มิได้สวยหรูอย่างที่เราคิด ดังผลการวิจัยตีพิมพ์ล่าสุดท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลเรื่องเชื้อดื้อยา  โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ จากตัวอย่างดินที่เก็บตัวอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๖ โดยนักวิจัยแสดงให้เห็นความพันธ์ระหว่างการใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ยบำรุงดิน และการปรากฏยีนส์ดื้อยาปฏิชีวนะในดิน
บทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการทางวิทยาศาสตร์ Nature Scientific Reports ฉบับนี้เป็นผลการศึกษาที่ใช้เวลายาวนานมาก ที่สถานีวิจัย Askov ในเดนมาร์ก โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ จากตัวอย่างดินที่เก็บตัวอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๖ โดยนักวิจัยแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ยบำรุงดิน และการปรากฏยีนส์ดื้อยาปฏิชีวนะในดิน
ยีนส์ดื้อยามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่า เมื่อใดที่การใช้ยาปฏิชีวนะใหม่เข้ามา ยีนส์ดื้อยาก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อยาปฏิชีวนะชนิดนั้นถูกเลิกใช้ ยีนส์ดื้อยาก็จะลดลง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์ ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาระหว่างการตรวจพบเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะในโรงพยาบาล และการตรวจพบยีนส์ดื้อยาในดินภายหลังการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์บำรุงดิน ผู้เชี่ยวชาญ ศึกษายีนส์ดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มเบต้าแลคแตม โดยเฉพาะ ยาที่นิยมใช้ในทางการแพทย์ และเป็นยีนส์ดื้อยาชนิดแรกๆที่มีรายงานในระบบสุขภาพ
ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ยีนส์ดื้อยาพบได้ในระดับต่ำๆทั้งดินที่ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ และดินที่ใช้ปุ๋ยอนินทรีย์ โดยผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการเพิ่มขึ้นของยีนส์ดื้อยาในดินที่ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ ในช่วงราวปี ๒๕๓๗ การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นสารเร่งเจริญเติบโตลดลง ในเวลาต่อมา จึงพบว่าดินมียีนส์ดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มเบต้า-แลคแตมลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ดินที่ใช้ปุ๋ยอนินทรีย์ก็มียีนส์ดื้อยาในระดับที่ต่ำมาก
               ความสัมพันธ์อีกประการหนึ่งคือ ยีนส์ดื้อยาเบต้า แลคแตม ในดินที่เพิ่มขึ้นก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการพบยีนส์ดื้อยาในโรงพยาบาล โดยช่วงเวลาที่เริ่มพบยีนส์ดื้อยาเป็นครั้งแรกสอดคล้องกับเวลาช่วงเวลาที่พบยีนส์ดื้อยาอย่างมากมายในดิน
               ระดับของอินทีกรอนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในดินที่ใช้ปุ๋ยมูลไก่ (Manured soil) ตัวอย่างจากในอดีต ยังแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่น่าวิตก ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นต้นมา พบว่า ระดับของอินทีกรอนในดินที่ใช้ปุ๋ยมูลไก่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อินทีกรอน ช่วงเร่งให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้น จึงเร่งให้เชื้อเกิดภาวะดื้อยาอย่างรวดเร็ว ศ. เดวิด แกรมแฮม แห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล อธิบายว่า ระดับของอินทีกรอนที่เพิ่มขึ้นหลังปี พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นต้นมา บ่งชี้ว่า แม้ว่าจะพยายามลดภาวะดื้อยาปฏิชีวนะ แต่ก็ยังคงมีการแลกเปลี่ยนยีนส์ดื้อยาได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ควรมีการศึกษาการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์อย่างใกล้ชิด

แหล่งข้อมูล เดวิด แกรมแฮม และเจน โดลฟิง (15/3/16)


ฟาสต์ฟู้ดแบนด์ดัง ชิโปเล่ ปิดเหตุโนโรไวรัส

ชิโปเล่เป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแบรนด์ดังในเมือง Billerica รัฐแมสซาชูเซต ปิดชั่วคราวภายหลังตรวจพบคนงานติดเชื้อโนโรไวรัส โดยคนงานอย่างน้อย ๓ รายมีรายงานป่วยจากการติดเชื้อ
               ร้านชิโปเล่ ในเมือง Billerica ตัดสินใจปิดบริการ เพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่ แม้ว่าจะยังไม่มีรางานลูกค้าป่วยจากการกินอาหารที่ร้านแต่อย่างใด
               ร้านชิโปเล่พึ่งฟื้นจากกระแสระบาดของโรคอาหารเป็นพิษในหลายร้าน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ พบโนโรไวรัสที่ร้านชิโปเล่ใน Simi Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ตอนนั้น ลูกค้าป่วยไป ๒๔๓ ราย ต่อมาเดือนธันวาคม ก็พบซ้ำอีกในเมืองบอสตัน มีผู้ป่วย ๑๔๓ ราย รวมถึง การระบาดของซัลโมเนลลาใน ๒๒ ร้านที่รัฐมิเนโซตา และวิสคอนซิน มีผู้ป่วย ๖๔ ราย และการระบาดของ อี. โคลัย อีก ๑๑ รัฐ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงพฤศจิกายน มีผู้ป่วยรวม ๖๐ ราย ขณะนี้ ร้านชิโปเล่ ได้ออกมาตรการควมปลอดภัยอาหาร และบังคับใช้อย่างเข้มงวด

แหล่งข้อมูล        Meat &Poultry (3/9/16)

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

สี่วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโรงงานแปรรูปการผลิตไก่

การจัดการก่อนเข้าโรงงานแปรรูปการผลิตอาจสร้างความเสียหายอย่างมาก ทั้งที่มีวิธีการธรรมดาเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นที่สามารถช่วยให้ผู้ผลิตสามารถนำไก่เดินทางมาถึงโรงงานแปรรูปการผลิตได้อย่างรวดเร็ว
หากขั้นตอนก่อนการฆ่าไก่เนื้อไม่สามารถจัดการให้อยู่ในระดับเดียวกันได้ เนื่องจาก กระบวนการที่หลากหลายของการผลิตไก่เนื้อ ผู้ผลิตก็ไม่สามารถได้รับไก่เนื้อที่มีสภาพดีที่สุดได้ และกระทบต่อผลผลิตของธุรกิจบริษัทได้ในที่สุด การทบทวนขั้นตอนการจับ และการขนขึ้นรถบรรทุก ช่วยให้ลดจำนวนไก่ตาย (DOA) และการคัดซากไก่ทิ้งที่โรงงานแปรรูปการผลิต และสามารถลดความเครียดของพนักงาน ตลอดจนช่วยให้ลดจำนวนแรงงานสำหรับการจับไก่ เพื่อส่งไก่เนื้อเข้าสู่โรงงานแปรรูปการผลิตได้ในที่สุด ๔ วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโรงงานแปรรูปการผลิตไก่เนื้อ
๑. เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายกล่องไก่ โดยใช้กว้านผ่อนแรงสำหรับการกระจายกล่องไก่ภายในโรงเรือนเลี้ยงไก่ ช่วยให้จับไก่ได้รวดเร็ว และผ่อนภาระให้กับทีมจับไก่
               เมื่อกล่องไก่เปล่านำลงจากรถจับไก่แล้ว นำเข้าสู่ภายในโรงเรือน แบ่งเป็นกลุ่มๆละ ๔ ถึง ๘ กล่อง อาจผูกรวมเข้าด้วยกัน แล้วใช้กว้านผ่อนแรงช่วยส่งกระจายไปรอบโรงเรือน โดยการต่อกันไปคล้ายกับรถไฟ การใช้กว้านผ่อนแรงผ่อนแรงเข้ามาช่วยในขั้นตอนการจับไก่ ไม่เพียงเอื้ออำนวยให้การกระจายกล่องไก่ได้อย่างรวดเร็ว ผ่อนภาระให้ทีมจับไก่ ทีมจับไก่จึงมีภาะงานเพียงการดันกล่องไก่ไปตามโครงข่ายของรางพลาสติก เพื่อให้กล่องไก่เคลื่อนที่ได้สะดวกรวดเร็ว
๒. การจับไก่อย่างถูกต้อง หากมีการจับไก่ระหว่างวัน ควรต้อนไก่ให้รวมกันในที่แสงส่วงน้อยโดยใช้ตาข่ายลวดพิเศษ จะช่วยลดความเครียด และจับไก่ได้ง่ายขึ้น เป็นการลดอันตรายต่อไก่ได้เป็นอย่างดี กล่องจับไก่ต้องอยู่ซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่ดี มิให้เป็นอันตรายต่อไก่ สำหรับความเร็วในการจับไก่ ควรถูกจับ และใส่ลงในกล่องครั้งละ ๒ ตัว การจับไก่ต้องจับทั้งตัว ไม่จับขา โดยรวบปีกไม่ให้ไก่กระพือปีก เนื่องจาก อาจทำให้ปีกหักได้  
               เมื่อบรรจุไก่ใส่กล่องเรียบร้อยแล้ว และนำออกจากโรงเรือน พึงระมัดระวังไม่วางกล่องจับไก่ใกล้กันจนเกินไป เนื่องจาก เป็นการจำกัดการเคลื่อนที่ของอากาศระหว่างกล่อง และขัดขวางการไหลผ่านของพัดลม ส่งผลให้เกิดความร้อน และความเครียดต่อไก่เนื้อ เมื่อเตรียมกล่องไก่เรียบร้อยแล้ว ควรเคลื่อนย้ายในแนวระนาบ หรือใช้สายพานนำไปสู่กระบะรถบรรทุก แล้วใช้อุปกรณ์ช่วยยกขึ้นรถบรรทุก
๓. การใช้อุปกรณ์ช่วยยกขึ้นรถบรรทุก การยกกล่องไก่ขึ้นรถบรรทุก ตามปรกติก็จะใช้คนงาน ๑ หรือ ๒ คน นับเป็นกิจกรรมที่เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ภายในระยะทางประมาณ ๖ เมตร หากใช้เครื่อมือสำหรับผ่อนแรงก็จะลดแรงงานเหลือคนงานทำงานลำพังเพียงคนเดียว ส่วนอีกคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนไปทำงานในกิจกรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น การจัดกล่องจับไก่บนรถบรรทุกให้เป็นระเบียบเป็นต้น
๔.  การจัดเรียงกล่องไก่บนรถบรรทุก เมื่อกล่องไก่ถูกยกขึ้นสู่กระบะรถบรรทุกเรียบร้อยแล้ว โดยทั่วไปก็จะใช้คนงาน ๓ ถึง ๔ คน เพื่อจัดเรียงกล่องจับไก่ ขณะที่ กล่องจับไก่ที่บรรจุไก่อยู่เต็มกล่องเคลื่อนที่ไปโดยกำลังของคนงาน ที่นิยมใช้ตะขอเกี่ยวเพื่อให้จัดการได้ง่ายขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า เนื่องจาก วิธีการดังกล่าวทำให้คนงานเหน็ดเหนื่อยมาก กล่องไก่ชำรุดได้ง่าย เนื่องจาก หากใช้ตะขอไม่ระมัดระวังก็อาจทำลายโครงสร้างของกล่องไก่ได้ นั่นก็คือ ต้องเสียเงินสำหรับซ่อมแซม และพื้นกระบะรถบรรทุกที่ชำรุดก็ยังอาจเป็นอันตรายต่อทั้งคนงาน และไก่ได้อีกด้วย  
               การแก้ไขปัญหาเหล่านี้แทนที่จะใช้ตะขอสำหรับการจัดกล่องไก่ ควรใช้รถเข็นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสามารถรับน้ำหนักกล่องไก่ที่มีไก่บรรจุเต็มจำนวน ๘ ถึง ๑๐ กล่อง คนงานสามารถเข็นลากได้ง่าย นอกจากช่วยป้องกันพื้นกระบะรถบรรทุก และกล่องไก่ แต่ยังช่วยให้กล่องไก่สามารถจัดเป็นระเบียบได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย นอกจากนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานควรติดตั้งพัดลมด้านข้างรถบรรทุก เพื่อระบายอากาศทั้งสำหรับไก่ และคนงาน
               การเพิ่มกว้านผ่อนแรง และรถเข็นที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับช่วยจับไก่ และกระบวนการยกกล่องไก่ขึ้นบรรทุกจะช่วยให้รถบรรทุกสามารถขนส่งไก่จับได้ ๒,๕๐๐ ตับ และพร้อมสำหรับนำส่งสู่โรงงานแปรรูปการผลิตได้ภายใน ๕๐ นาที

  แหล่งข้อมูล      Eduardo Cervantes Lopes (22/2/16) 























ภาพที่ ๑ การลดระดับความเข้มแสงระหว่างการจับไก่ ช่วยลดความเครียดให้ไก่ และช่วยให้จับไก่ได้ง่ายขึ้น ลดการบาดเจ็บต่อไก่


















ภาพที่ ๒ การจับไก่ ควรจับไก่ครั้งละ ๒ ตัว โดยประคองไก่อย่างนิ่มนวลทั้งตัว ไม่ใช่จับขา 

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พยากรณ์สัตว์ปีกโลก ยอดการผลิตเนื้อไก่สูงเกินกว่า ๑๐๐ ล้านตัน (ต่อ)

               ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ มีเจ็ดประเทศที่สามารถผลิตเนื้อไก่ได้มากกว่าล้านตันต่อปี (ตารางที่ ๒) ทำให้ยอดรวมทั้งหมดเป็น ๓๘.๓ ล้านตันคิดเป็นสัดส่วน ๙๑ เปอร์เซ็นต์ของทุกพื้นที่รวมกัน ข้อมูลล่าสุดจาก USDA ว่าด้วยการผลิตไก่เนื้อ แสดงให้เห็นว่า ในปี พ.ศ.๒๕๕๙ นี้ ผลผลิตใน USA คาดว่าจะสูงเป็นสถิติใกล้ ๑๘.๔ ล้านตัน ขณะที่บราซิล การผลิตเข้าใกล้ ๑๓.๕ ล้านตัน แทนที่ประเทศจีนที่เคยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ ๒ ต่อเนื่องกันเป็นปีที่สอง (ตารางที่ ๔) ในทางตรงกันข้าม มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในระดับการผลิตทั้งในประเทศเม็กซิโก และอาร์เจนตินา ประมาณ ๓.๒ และ ๒.๑ ล้านตัน ตามลำดับ ส่วนผู้ผลิตรายสำคัญอื่นๆ เช่น เปรู โคลัมเบีย และคานาดา ยอดการผลิตยังอยู่ใกล้ล้านตันต่อปี
               อ้างอิงตามสำนักงานพยากรณ์ความต้องการ และการผลิตสินค้าเกษตร (World Agricultural Supply and Demand Estimates) คาดการณ์ว่า การผลิตในสหรัฐฯ ในปีนี้จะใกล้เคียง ๑๘ ล้านตัน เนื่องจาก ราคาอาหารสัตว์คาดกว่าจะลดลง ๒.๒ เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของผลผลิตเนื้อไก่ในปี พ.ศ.๒๕๕๙ดันขึ้นไปถึง ๑๘.๕ ล้านตัน น้ำหนักเฉลี่ยของซากสัตว์เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงสี่เดือนแรกของปีที่ผ่านมา โดยน้ำหนักมีชีวิตเฉลี่ยเป็น ๒.๘ กิโลกรัม หรือสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี พ.ศ.๒๕๕๗ คิดเป็น ๑.๘ เปอร์เซ็นต์ใล้กับการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยตลอดทั้งปี พ.ศ.๒๕๕๗
               การผลิตไก่เนื้อในบราซิล คาดว่าจะขยายตัวเป็น ๒.๕ เปอร์เซ็นต์ใกล้กับสถิติ ๑๓.๑ ล้านตันในปี พ.ศ.๒๕๕๘ อันเป็นผลมาจากการส่งออกที่สูงขึ้น อ้างอิงตามรายงาน USDA ผลกำไรจะเป็นบวกต่อไป ในอัตราที่ลดลง เนื่องจาก ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น นอกจากนั้น ยังมีความไม่แน่นอน อันเนื่องจาก สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของบราซิลชลอการขยายตัว ในรอบห้าปีที่ผ่านมาระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๒ ถึง ๒๕๕๗ การผลิตไก่เนื้อมีแนวโน้มเจริญเติบโต ๒.๘ เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยเชื่อว่า อาจเติบโตได้อีกถึง ๓ เปอร์เซ็นตในปี พ.ศ.๒๕๕๙ เป็น ๑๓.๕ ล้านตัน  รองประธานสมาคมโปรตีนจากสัตว์สำหรับส่วนสัตว์ปีกแห่งบราซิล (ABPA) เชื่อว่า สิ่งท้าทายที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมไก่ในอีก ๑๐ ถึง ๒๐ ปีข้างหน้าคือ สมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม และสวัสดิภาพสัตว์ ที่กำลังมีความต้องการสูงขึ้น
               มาตรการสำหรับเม็กซิกต่อการต่อสู้กับการระบาดของโรคไข้หวัดนกในปี พ.ศ.๒๕๕๕ ถึง ๒๕๕๗ พบว่า ขณะนี้พร้อมแล้วที่จะให้การผลิตกลับไปเหมือนดังเดิมตามรายงานของ USDA สำหรับภาคไก่เนื้อ เชื่อว่าจะมีการขยายตัวในอัตรา ๓ เปอร์เซ็นต์ต่อปี ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ นี้ก็จะขยับเข้าใกล้ ๓.๒ ล้านตัน ในระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๒ ถึง ๒๕๕๗ อุตสาหกรรมการผลิตไก่เนื้อในอาร์เจนตินามีการเติบโตอย่างรวดเร็วที่อัตรามากกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ต่อปีจนเกินกว่า ๒ ล้านตันแล้ว ข้อมูลคาดการณ์สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๘ คาดว่า จะมีการเพิ่มขึ้นอีก ๐.๕ เปอร์เซ็นต์เป็น ๒.๐๖ ล้านตัน แต่ปี พ.ศ.๒๕๕๙ เชื่อว่าจะเติบโตน้อยลงโดยมียอดการผลิตเป็น ๒.๑ ล้านตัน การผลิตไก่เนื้อในคานาดาเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้น ๓ เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นอีก ๒ เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ.๒๕๕๙ โดยมียอดการผลิตสูงกว่า ๑.๑ ล้านตัน   
.
ภาพที่ ๑ ผลผลิตเนื้อไก่ทั่วโลกมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าทวีปอเมริกา (ล้านตัน)
 
ตารางที่ ๒ อันดับประเทศผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ในทวีปอเมริกาในปี พ.ศ.๒๕๕๘
ประเทศ

สหรัฐฯ
17546.1
เม็กซิโก
12435.5
อาร์เจนตินา
2801.3
โคลัมเบีย
1276.8
เวเนซูเอลา
1273.0
เปรู
1203.2
คานาดา
992.3

 ตารางที่ ๓ ผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ในทวีปอเมริกา (พันตันของน้ำหนักไม่รวมเครื่องใน)
การผลิตเนื้อไก่ (พันตันของน้ำหนัก ไม่รวมเครื่องใน)
ประเทศ
2543
2548
2549
2550
2551
2552
2553
2554
2555
2556
2557
2558
2559
สหรัฐฯ
13703
15870
15930
16226
16561
15935
16563
16694
16621
16976
17299
17966
18365
บราซิล
5980
9350
9355
10305
11033
11023
12312
12863
12645
12308
12692
13080
13480
เม็กซิโก
1936
2498
2592
2683
2853
2781
2822
2906
2958
2907
3025
3100
3160
อาร์เจนตินา
870
1030
1200
1320
1435
1500
1680
1770
2014
2060
2050
2060
2100
หมายเหตุ ข้อมลูจาก USDA

แหล่งข้อมูล        World Poultry (19/2/16) 

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พยากรณ์สัตว์ปีกโลก ยอดการผลิตเนื้อไก่สูงเกินกว่า ๑๐๐ ล้านตัน

ทวีปอเมริกาเป็นผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ที่สุดในโลก แต่อุตสาหกรรมมีการเติบโตช้ากว่าภูมิภาคอื่นๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การผลิตเนื้อไก่โลกจะสูงที่สุดแตะ ๑๐๐ ล้านตันในปี พ.ศ.๒๕๕๙ นี้ โดยที่ทวีปอเมริกามียอดการผลิตราว ๔๔.๓ ล้านตัน หรือ ๔๔ เปอร์เซ็นต์ 

               ตลาดค้าสัตว์ปีกทั่วโลกสำหรับปีนี้เชื่อว่าจะสูงถึง ๙๙ ล้านตันเปรียบเทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มียอดรวมทั้งหมด ๙๖.๓ ล้านตัน ขณะที่ในทวีปอเมริกามีการผลิตมากที่สุด ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ คาดว่าสัดส่วนจะลดลงจาก ๔๖.๕ เหลือ ๔๓.๘ เปอร์เซ็นต์ของผลรวมการผลิตทั่วโลก เนื่องจาก อัตราการเจริญเติบโตในทวีปอเมริกาลดลงประมาณ ๓ เปอร์เซ็นต์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับพื้นที่การผลิตทวีปอื่นๆที่ลดลง ๔ เปอร์เซ็นต์ และค่าเฉลี่ยทั่วโลก ลดลง ๓.๕ เปอร์เซ็นต์ ปีหน้านี้ ทั้งบราซิล และสหรัฐฯ คาดว่า การผลิตเฉลี่ยสูงกว่าทั่วโลก จะส่งผลให้พื้นที่แถบนี้มีสัดส่วนประมาณ ๔๔ เปอร์เซ็นต์ FAO ได้นำเสนอข้อมูลไว้ในตารางที่ ๑ รวมถึง คาดการณ์การผลิตจากไก่ไข่คัดทิ้ง และไก่หลังบ้าน

        ข้อมูลจาก USDA เกี่ยวกับการผลิตเนื้อไก่ทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัว ๓.๔ เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยมีผลผลิตไต่ขึ้นจาก ๖๓.๑ ล้านตันในปี พ.ศ.๒๕๔๘ ถึง ๘๗.๙ ล้านตันในปีนี้ ขณะที่ปี พ.ศ.๒๕๕๙ เชื่อว่าจะมียอดการผลิตมากกว่า ๘๙ ล้านตัน (ตารางที่ ๑)
               แม้ว่าจะมีการระบาดของโรคไข้หวัดนก ภาพรวมสำหรับอุตสาหกรรมสัตว์ปีกส่วนใหญ่ยังเป็นไปด้วยดี เนื่องจาก ราคาอาหารสัตว์ที่ดี และภาวะการแข่งขันสำหรับเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆมีน้อย  ผู้ผลิตรายใหญ่ในละตินอเมริกากำลังพยายามมองหาวิธีการต่อสู้ และป้องกันการระบาดของโรคนี้ รวมถึง การจัดงบประมาณ และแผนฉุกเฉิน และการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพ
               พยากรณ์ตลาดเนื้อสัตว์ปีกในระยะยาวจะมีการเจริญเติบโตต่อไปอีกประมาณ ๒ เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยมีผลผลิตใกล้เข้าสู่ ๑๓๔ ล้านตันในปี พ.ศ.๒๕๖๗ โดยภาพกว้าง เนื้อไก่จะมีสัดส่วนเกือบ ๘๙ เปอร์เซ็นต์ของเนื้อสัตว์ปีกทุกประเภท โดยในปี พ.ศ.๒๕๖๗ นั้น การผลิตเนื้อไก่จะเป็น ๑๑๙ ล้านตัน การผลิตเนื้อไก่ในทุกประเทศในทวีปอเมริกาช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๓ และ ๒๕๕๖ ขยายตัวราว ๓.๕ เปอร์เซ็นต์ต่อปี จาก ๒๗.๑ เป็น ๔๒.๑ ล้านตัน โดยสหรัฐฯจะเป็นผู้ผลิตลำดับหนึ่งโดยมียอดการผลิต ๑๗.๖ ล้านตันในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ แม้ว่า อัตราการเจริญเติบโตจะต่ำกว่า ๒ เปอร์เซ็นต์ต่อปี สวนทางกลับอุตสาหกรรมบราซิลที่มีการขยายตัวใกล้ ๖ เปอร์เซ็นต์ต่อปีจนมียอดการผลิตสูงถึง ๑๒.๔ ล้านตันในช่วงเวลาเดียวกัน
แหล่งข้อมูล        World Poultry (19/2/16)



















 หมายเหตุ ข้อมูลปี 2557-2559 มาจากการคาดการณ์

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แคลเซียม และไฟเตสในไก่เนื้อ

ไฟเตสกำลังมีการวิจัยกันอย่างกว้างขวาง แต่ยังมีข้อมูลน้อยเกี่ยวกับนิเวศวิทยาของเชื้อจุลชีพในระบบทางเดินอาหารของไกเนื้อ โดยไฟเตสยังช่วยปลดปล่อยแคลเซียมจากอาหารสัตว์ ต้องใส่แคลเซียมมากน้อยเพียงใดเมื่ออาหารสัตว์มีการเสริมไฟเตส
               ไฟเตสเชื่อว่าเป็นสารเติมอาหารสัตว์ที่มีการศึกษามากที่สุดชนิดหนึ่ง ใช้เป็นเอนไซม์เสริมที่ใช้ในสูตรอาหารของสัตว์เลี้ยงที่ไม่ใช่สัตว์เคี้ยวเอื้อง ช่วยเพิ่มผลผลิต โดยช่วยในการสร้างสารอาหารมากมายหลายชนิด รวมถึง  มาโครอิเลเมนต์ และแร่ธาตุที่มีอยู่น้อยในการศึกษาหลายครั้งในสัตว์ชนิดต่างๆ การเสริมไฟเตสในสูตรอาหารสัตว์ ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้แร่ธาตุอาหารจากหินแป้ง และฟอสเฟตโดยการปลดปล่อยฟอสฟอรัส และแคลเซียมออกจากไฟเตตที่มีความซับซ้อน เอนไซม์ไฟเตส ช่วยลดปริมาณการเติมฟอสเฟต และแคลเซียมในรูปอนินทรีย์ที่ใช้ในสูตรอาหารสัตว์ ส่วนใหญ่นิยมใช้ในรูปของโมโน หรือไดแคลเซียม ฟอสเฟต อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเอนไซม์ไฟเตสปลดปล่อยฟอสฟอรัสได้มากกว่าแคลเซียม (ตามสัดส่วนของความต้องการ) ดังนั้น การเสริมเอนไซม์ไฟเตสจึงต้องเติมหินแป้งมากขึ้น เพื่อให้อัตราส่วนระหว่างแคลเซียม และฟอสฟอรัสเป็น ๒ ต่อ ๑ ในอาหารสัตว์
               อาหารสัตว์มีระดับฟอสฟอรัส และแคลเซียมแตกต่างกัน ดังนั้น การศึกษาปฏิกิริยาระหว่างแคลเซียม และไฟเตสจึงมีรายละเอียดมาก การทดลองในมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์ชีวิตในโปแลนด์โดยใช้ลูกไก่พันธุ์ รอส เพศเมียอายุ ๑ วัน แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของการเสริมเอนไซม์ไฟเตสต่อผลการเลี้ยงไก่เนื้อที่ใช้แคลเซียม และฟอสฟอรัสในระดับแตกต่างกันต่อประชากรไมโครไบโอตา และเมตาโบไลต์ในทางเดินอาหารส่วนต่างๆกัน
               ผลต่อประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร พบว่า อัตราการตายต่ำ น้อยกว่า ๓ เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มการทดลอง ในทุกระยะของการทดลอง และทุกพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต โดยไม่พบปฏิสัมพันธ์ระหว่างระดับแคลเซียม และฟอสฟอรัส และการเสริมไฟเตส นั่นคือ ไม่พบผลกระทบของความเข้มข้นของแคลเซียม และฟอสฟอรัสต่อการกินอาหารตลอดการทดลอง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ถึง ๒๑ การลดระดับของฟอสฟอรัส และแคลเซียมส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนักที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยอาหารก็แย่ลงเช่นกัน
               ในระยะแรกของการเลี้ยง (อายุ ๑ ถึง ๑๔ วัน) การเติมไฟเตสที่ระดับ ๕๐๐๐ เอฟทียูต่อกิโลกรัมช่วยเพิ่มน้ำหนัก การกินอาหาร และประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารที่ดีขึ้น ในช่วงอายุ ๑๕ ถึง ๒๑ วัน การเสริมไฟเตสก็ช่วยเพิ่มน้ำหนัก และลดประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร แต่ไม่มีลผต่อการกินอาหาร ระหว่างอายุ ๒๒ ถึง ๔๒ วัน มีเพียงประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหารเท่านั้นที่ดีขึ้น โดยภาพรวมนับตั้งแต่อายุ ๑ ถึง ๔๒ วัน การเสริมไฟเตสที่ระดับ ๕๐๐๐ เอฟทียูต่อกิโลกรัมในอาหาร ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัว และลดประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนอาหาร โดยไม่มีผลต่อการกินอาหาร
               ผลต่อแบคทีเรีย และกรดแลกติกในลำไส้ จำนวนรวมของแบคทีเรีย (DAPI counts) ต่ำลง โดยการลดความเข้มข้นของแคลเซียม และฟอสฟอรัส แต่เพิ่มขึ้นโดยการเสริมไฟเตส ไม่มีสูตรอาหารใดที่ส่งผลต่อจำนวนของเชื้อแบคเทอรอยเดส จำนวนของเชื้อคลอสตริเดียม และเอนเทอโรคแบคเทอริซีอีลดลงในอาหารจากลำไส้เล็กส่วนท้ายที่เก็บตากไก่กินอาหารที่ขาดแคลเซียม และฟอสฟอรัส ไม่มีผลกระทบที่เห็นชัดของระดับแคลเซียม และฟอสฟอรั และการเสริมไฟเตสต่อความเข้มข้นของกรดอะซิติก และแลกติก เช่นเดียวกับปริมาณรวมของ SCFA ในกระเพาะพัก อย่างไรก็ตาม ปฏิสัมพันธ์ระหว่างไฟเตส และระดับแคลเซียม และฟอสฟอรัส สังเกตพบสำหรับอะซิเตต และ SCFA
               โดยสรุปแล้ว นักวิจัย พบว่า ฟอสฟอรัสเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการหมักในลำไส้เล็กส่วนท้าย โดยไฟเตสมีบทบาทสำคัญในการควบคุมเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ของไก่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนของระดับฟอสฟอรัส และแคลเซียมในอาหารสัตว์

แหล่งข้อมูล        Emmy Koeleman, All About Feed &Dairy Globa (16/2/16) 

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เตือนฟาร์มไก่อังกฤษลดใช้ยาปฏิชีวนะ

การใช้ยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญสำหรับมนุษย์ถูกตักเตือนในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกของอังกฤษตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๗ แม้ว่า อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกพยายามลดการใช้ลง แต่ก็ยังคงมีใช้ให้เห็น
สภาสัตว์ปีกแห่งสหราชอาณาจักร (British Poultry Council, BPC) บ่งชี้ว่า การใช้ยากลุ่มฟลูออโรควิโนโลนเพิ่มขึ้นถึง ๕๙ เปอร์เซ็นต์ในช่วงสิบสองเดือนที่ผ่านมา คิดเป็นน้ำหนักรวมของยา ๑.๑๒๖ ตันที่มีการใช้กันในปี พ.ศ.๒๕๕๗ เปรียบเทียบกับ ๐.๗๑ ตันที่ใช้กันในปีก่อน
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์อิสระ อ้างว่า ไก่เนื้อมากกว่า ๒๐ ล้านตัวถูกรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หลังจากสหรัฐฯได้ถอนยาจากฟาร์มสัตว์ปีกในปี ๒๕๔๘ ถึงตอนนี้ Defra ก็ได้เสนอให้รัฐบาลต้องเร่งรัดสำนึกใช้ยาด้วยความรับผิดชอบ 
มาตรการควบคุมการจำหน่ายยาปฏิชีวนะยังไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงต้องหันมารณรงค์ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกเพื่อให้มีการเปรียบเทียบการใช้ยาจริงในฟาร์มกับประเทศอื่นๆในยุโรป สภาสัตว์ปีกแห่งสหราชอาณาจักรได้เปรียบเทียบการใช้ยาต่อต้านจุลชีพระหว่างสมาชิกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๕ และ๒๕๕๗ โดยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรด้านสัตวแพทย์ มีเพียงไม่กี่แห่งที่ปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนั้น สภาสัตว์ปีกสหราชอาณาจักรจึงเริ่มจัดตั้งกลุ่มรณรงค์การลดยาปฏิชีวนะขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๕๔ สภาสัตว์ปีกสหราชอาณาจักรมีบทบาทในการเป็นผู้นำลดการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยมุ่งกลุ่มที่ใช้สำหรับการแพทย์ ในปี พ.ศ.๒๕๕๔ สมาชิกของสภาสัตว์ปีกยุโรป ตัดสินใจหยุดการใช้ยากลุ่มเซฟาโลสปอริน ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ ถึง ๒๕๕๗ การใช้ยาปฏิชีวนะรวมในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ปีกลดลง ๓๐ เปอร์เซ็นต์
แหล่งข้อมูล Jake Devies, Poultry World (4/2/16) 



วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...