วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

๑๒ ขั้นตอนลดการปนเปื้อนในฟาร์ม

เรียนรู้ ๑๒ ขั้นตอนเพื่อช่วยให้ฟาร์มลดปนเปื้อนเชื้อโรค เพื่อความปลอดภัยอาหาร ข่าวดีสำหรับความปลอดภัยอาหารคือ เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าที่คิด วิธีการที่ดีที่สุดเพื่อลดเชื้อโรคในการผลิตอาหารคือ การป้องกัน หลักการของความปลอดภัยอาหารมี ๓ ปัจจัยหลักคือ การกำจัดเชื้อออกจากอาหาร ป้องกันไม่ให้เชื้อในอาหารแพร่กระจายออกไป และป้องกันไม่ให้เชื้อเจริญเติบโต ในสหรัฐฯ แต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ ๑ รายต่อประชากร ๖ คน
ความปลอดภัยอาหารไม่ต้องใช้กฏหมายควบคุม ความจริงแล้วเป็นจริยธรรมสำหรับผู้ผลิตอาหารต่อผู้บริโภค คำแนะนำ ๑๒ ขั้นตอนง่ายๆที่ช่วยให้ผู้ประกอบการฟาร์มผลิตอาหารได้อย่างปลอดภัยสอดคล้องกับกฏหมาย Food Safety Modernization Act (FSMA0 ได้แก่ 
๑. ล้างมือด้วยเทคนิคที่ดี
๒. ผู้ป่วยให้หยุดงานพักรักษาตัวที่บ้าน
๓.  ป้องกันมิให้สัตว์ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง เข้ามาในฟาร์ม
๔. การจัดการน้ำ ไม่ให้มีการปนเปื้อน และแพร่กระจายโรค
๕. ทำความสะอาด และฆ่าเชื้อพื้นที่ และอุปกรณ์ทุกชนิดด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
๖. การจัดการมูลสัตว์อย่างเหมาะสม
๗. สวมชุดที่ฟาร์มเตรียมไว้ให้ก่อนเข้าภายในฟาร์ม
๘. การใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ถูกต้อง
๙. ทำความสะอาดอุปกรณ์ และเครื่องมืออย่างถูกต้อง
๑๐. ระลึกไว้เสมอว่า พื้นสกปรกเสมอ อย่าวางอุปกรณ์ และเครื่องมือบนพื้นในฟาร์ม
๑๑. จัดแยกสัดส่วนพื้นที่การทำงานให้ชัดเจนระหว่างพื้นที่กำลังทำความสะอาดจากพื้นที่ที่ผ่านการทำความสะอาดแล้ว
๑๒. ล้างมืออีกครั้ง ไม่มีคำว่าพอแล้ว เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ควรฝึกให้บุคลากรในฟาร์มเรียนรู้เทคนิคการล้างเมืออย่างถูกต้อง
อย่าลืมว่า ความปลอดภัยอาหารไม่ต้องรอให้กฏหมายบังคับ ใช้สำนึกความรับผิดชอบจริยธรรมในใจเป็นพันธะสัญญาต่อผู้บริโภค  
เอกสารอ้างอิง

Gantz A. 2017. 12 food safety steps to minimize microbial contamination. [Internet]. [Cited 2017 Feb 24]. Available from: http://www.wattagnet.com/articles/29942-food-safety-steps-to-minimize-microbial-contamination

ภาพที่ ๑ อินโฟ กราฟฟิก ขั้นตอนลดการปนเปื้อนจุลินทรีย์ (แหล่งภาพ Andrea Gantz)

วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

โลกของวีอาร์ ประตูสู่โลกเสมือนจริงในฟาร์มไก่

ขณะนี้มีแอพลิเคชันเต็มไปหมดในชีวิตประจำวันของเรา มหาวิทยาลัยจอร์เจียกำลังปฏิวัติเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือวีอาร์ใช้ในฟาร์มสัตว์ปีกแล้ว
               เมื่อเราคิดถึงโลกความเป็นจริงเสมือน (Virtual reality, VR) ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงด้านความบันเทิงที่กำลังวิวัฒนาการเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในโลกของวีดีโอเกมส์ที่เหนือความเป็นจริง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ดูจะห่างไกลจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอร์เจียเทคแห่งแอตแลนตากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงโดยมองหาความเป็นไปได้ในการใช้วีอาร์มาใช้ในภาคธุรกิจฟาร์มบ้าง ตั้งแต่การออกแบบฟาร์มผลิตสัตว์ปีกไปจนถึงวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการชำแหละชิ้นส่วนไก่
               ตอนนี้ นักวิจัยกำลังค้นหาวิธีการใช้วีอาร์เป็นเครื่องมือสำหรับการทำวิจัยในอุตสาหกรรมสัตว์ปีก เช่น การใช้เทคโนโลยีสามมิติที่สามารถสร้างความประทับใจขณะที่ผู้เล่นควบคุมปุ่มต่างๆ และย้ายวัตถุต่างๆได้ในแบบสามมิติ รวมถึง การมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวเหมือนอยู่ในสถานที่จริง เชื่อว่า น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ขณะนี้ VR ในอุตสาหกรรมสัตว์ปีกยังอยู่ในขั้นตอนของการส่งเสริม หรือเป็นไปได้ยาก ในฤดูร้อน ค.ศ. ๒๐๑๖ บริษัทแลคผู้เลี้ยงสัตว์ปีกไข่ปล่อยอิสระในสหราชอาณาจักรได้ร่วมกับแมคโดนัลด์ ริเริ่มให้ลูกค้าได้ทดลองท่องเที่ยวไปในฟาร์มตามความจริงเสมือน เพื่อให้ลูกค้าของแมคโดนัลด์ได้ทำความเข้าใจพันธสัญญาต่อการผลิตในฟาร์มของบริษัทโดยแสดงเป็นภาพยนตร์ ๓๖๐ องศาให้ผู้บริโภคได้เห็นทุกมุมมอง ตั้งแต่โรงเรือนแม่ไก่ของเลค ฟาร์ม และอาคารบรรจุไข่ รวมถึง ฟาร์มประเภทอื่นๆในสหราชอาณาจักร ขณะที่ ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Austin Steward จากมหาวิทยาลัยไอโอวาก็ได้สร้างโลกความจริงเสมือนที่เรียกว่า ปศุสัตว์ทุติยภูมิ เพื่อเผยให้เห็นการใช้ชีวิตของสัตว์ปีกในฟาร์มขนาดใหญ่ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานได้ท่องเที่ยวไปได้ทั่วทุกมุมของฟาร์ม โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อนาคตของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกได้มากกว่าความเป็นจริง นอกเหนือจากนั้น โครงการของจอร์เจียเทคยังสนใจระบบการขนส่ง ระบบการแขวนไก่มีชีวิตตั้งแต่ในฟาร์มเพื่อใช้ในโรงเรือนไก่โดยตรง การออกแบบนี้จะใช้ VR แทนที่จะใช้การออกแบบโดยคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่มีการโต้ตอบ (Interactive computer aided desing, CAD) ค่อนข้างน้อย อุปกรณ์บางชิ้นสามารถทดลองนำไปวางในพื้นที่ว่างในโรงงานฯ ว่าพอดีกันหรือไม่ และยังประยุกต์ใช้ VR สำหรับการสร้างแบบจำลองของ CAT scans เพื่อตรวจโครงสร้างผิวหนัง และกระดูก เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์การจัดการโรงงานโดยใช้หุ่นยนต์ทั้งหมดไปจนถึงการออกแบบอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการชำแหละเนื้อไก่ ผู้วิจัยกำลังวิจัยโครงการชำแหละเนื้อไก่โดยต้องมีการจำลองการเคลื่อนไหวของมีดเป็นสามมิติ เพื่อสำรวจหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการชำแหละเนื้อโดยวีอาร์จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แสวงหาวิธีดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วจากการสแกนโครงสร้างกระดูกไก่ด้วยระบบดิจิตอล นักวิจัยได้สร้างแอพพลิเคชันโดยใช้ HTC Vive ระบบการจำลองเหตุการณ์โลกเสมือนจริง ร่วมกับหูฟังสวมศีรษะ และครอบตา และคอนโทรเลอร์บังคับมือให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์แบบสามมิติในโลกดิจิตอล แอพพลิเคชันยังสามารถสร้างเพื่อรองรับระบบอื่นๆที่มีอยู่แล้วในตลาด เช่น Oculus Rift และระบบที่มีราคาถูกลง เช่น Gear VR และ Google Cardboard นอกจากนั้น ผู้วิจัยกำลังคิดว่าจะใช้เป็นเครื่องมือด้านการศึกษาเพื่อให้นักศึกษาทำความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสรีรวิทยาของไก่ โดยช่วยในการสังเกต และสามารถมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้ ขณะนี้ ไม่ใช่ทุกบ้านจะมีหูฟังสวมศีรษะของ Oculus Rift แต่เชื่อว่า เทคโนโลยีวีอาร์จะมีบทบาทสำคัญในชีวิตของเราในหลากหลายทางมากขึ้นๆในไม่ช้าทั้งด้านการบันเทิง การแพทย์ และการศึกษา คณะผู้วิจัยจากจอร์เจียเทคหวังว่า วีอาร์จะนำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมสัตว์ปีก
 เอกสารอ้างอิง
The Poultry Site. 2017. Are you ready for virtual reality poultry farming?. [Internet]. [Cited 2017 Feb 8]. Available from: http://www.thepoultrysite.com/poultrynews/38162/the-next-frontier-virtual-reality-for-the-poultry-industry/


ภาพที่ ๑ โลกความเป็นจริงเสมือน (Virtual reality, VR) ในภาคธุรกิจฟาร์มบ้าง ตั้งแต่การออกแบบฟาร์มผลิตสัตว์ปีกไปจนถึงวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการชำแหละชิ้นส่วนไก่ (แหล่งภาพ The Poultry Site, 2017.)

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

จีนยกระดับฟาร์มเลี้ยงไก่คุมหวัดนก

จีนเผชิญปัญหาโรคไข้หวัดนกระบาดในมนุษย์ ตลาดค้าสัตว์ปีกหลายแห่งถูกบังคับให้ปิดในบางแห่งของประเทศ เพื่อป้องกันการระบาดของโรค
         กรมควบคุมโรคติดต่อของจีนเชื่อว่า การระบาดหนักที่สุดได้ผ่านไปแล้ว แต่จะยังคงเกิดการระบาดย่อยๆเกิดขึ้นอีกจนถึงปลายเดือนเมษายนนี้ ฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกสับไทป์เอช ๗ เอ็น ๙ ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อไปแล้ว ๓๐๖ ราย และปลายเดือนมกราคมนี้เอง มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว ๑๐๐ คนใน ๑๖ จังหวัด รวมถึง กวางตุ้ง เจียงสู และอานฮุย จนต้องเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการควบคุมโรค โดยเฉพาะ การปิดตลาดค้าสัตว์ปีกมีชีวิตเพิ่มเติม
       สัตว์ป่วยส่วนใหญ่พบทางตอนใต้ และตะวันออกของประเทศ โดยปัจจัยสำคัญคือ สภาวะอากาศ และพฤติกรรมท้องถิ่นต่อการซื้อไก่มีชีวิต หรือไก่ที่ฆ่าใหม่ๆ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคตามแผนระยะสั้น จึงจำเป็นต้องปิดตลาดค้าสัตว์ปีกมีชีวิตเพื่อควบคุมโรค และพิสูจน์แล้วว่า เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการชลอการแพร่เชื้อไวรัส โดยประชาชนสามารถช่วยสนับสนุนได้ โดยหลีกเลี่ยงตลาดค้าสัตว์ปีก หรือจับต้องสัตว์ปีกมีชีวิต โดยเฉพาะมูลสัตว์ปีก หากประชาชนเลือกซื้อเฉพาะเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งเท่านั้นเอง การควบคุมโรคก็จะง่ายขึ้น ทั้งที่คุณค่าทางโภชนาการที่ใกล้เคียงกับสัตว์ปีกที่ถูกฆ่าใหม่ๆ และสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อย่างมาก แต่ทางออกที่ดีที่สุดคือ การยกระดับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกสู่ฟาร์ม และโรงฆ่าขนาดใหญ่ที่ได้มาตรฐาน   
  
เอกสารอ้างอิง

The Poultry Site. 2017. China's Poultry Industry Needs 'Upgrade' to Contain Bird Flu. [Internet]. [Cited 2017 Feb 16]. Available from: http://www.thepoultrysite.com/poultrynews/38189/chinas-poultry-industry-needs-upgrade-to-contain-bird-flu/



















ภาพที่ ๑ ไก่ในตลาดสัตว์ปีกมีชีวิตในเซี่ยงไฮ้ ฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกสับไทป์เอช ๗ เอ็น ๙ ในมนุษย์ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา อัตราการตายสูงถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ (แหล่งภาพ The Poultry Site, 2017.)

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หวัดนกรุกฝรั่งเศสพุ่ง ๒๐๐ ราย

สมรภูมิโรคไข้หวัดนกความรุนแรงสูงครุกรุ่นต่อเนื่องในยุโรป การระบาดใหม่ของโรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๘ ในสัตว์ปีกมีรายงานในฝรั่งเศส เยอรมัน โปแลนด์ สาธารณรัฐเชค และสวีเดน ตลอดปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
               สงครามต่อสู้กับโรคไข้หวัดนกครั้งนี้ ยังคงเกิดขึ้นในฟาร์มเป็ด และห่าน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส อ้างอิงตามรายงานของกระทรวงเกษตรของโอไออี พบว่า มีการระบาดทั้งหมด ๒๔ ครั้งในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา สัตว์ปีกเสียหายไปแล้วมากกว่า ๑๐๓,๐๐๐ ตัวจากรายงานครั้งนี้เพียงฉบับเดียว ยังไม่รวมความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฝรั่งเศส สรุปยอดรวมของการระบาดทั้งหมดในสัตว์ปีกเป็น ๒๒๗ ครั้ง นอกจากนั้น ตามแผนการตรวจสอบโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกป่า และสัตว์ปีกเลี้ยง ยังพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสับไทป์อื่นๆ ได้แก่ ชนิดความรุนแรงต่ำ ๒ ชนิด สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๑ ในนกน้ำ และเอช ๕ เอ็น ๓ ในฟาร์มเป็ด 
               นอกจากนั้น โรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๘ ระบาดใหม่ในหลายประเทศยุโรป ตามกระทรวงอาหาร และเกษตรเยอรมัน (BMEL) รายงานการระบาดไปแล้ว ๕๘ ครั้ง รวมถึงสวนสัตว์ และสวนสัตว์ เพิ่มขึ้นอีก ๑๗ ครั้งจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการรายงานให้กับโอไออีเป็นการระบาด ๓๑ ครั้ง ทำให้สัตว์ปีกตาย หรือถูกทำลายเกือบ ๑๘๙,๐๐๐ ตัวในฟาร์ม ๗ แห่งในฟาร์มสัตว์ปีกเลี้ยงหลังบ้าน และสวนสัตว์ ๒ แห่งใน ๖ ภูมิภาคของประเทศ
               ในโปแลนด์ เกิดการระบาดใหม่ขึ้น ๘ ครั้ง ได้แก่ สัตว์ปีกหลังบ้าน ๒ ฝูง ๖ ฟาร์ม เกิดความเสียหายมากกว่า ๒๑๑,๐๐๐ ตัว
               ในสาธารณรัฐเชค ปศุสัตว์ยืนยันการรายงานการระบาดใหม่ ๙ ครั้งในสัตว์ปีกต่อโอไออี โดยมีฟาร์มเป็ด ๑ แห่ง จำนวน ๒๑,๐๐๐ ตัว และสัตว์ปีกหลังบ้าน ๘ ราย
               ในอิตาลี กระทรวงสาธารณสุข รายงานการระบาดโรคใหม่ HPAI ๑ รายในฝูงไก่งวงเนื้อ ๒๓,๐๐๐ ตัวที่เมืองปาร์มา โดยมีการทำลายแม่ไก่ไข่ไปแล้ว ๓๖,๗๓๗ ตัวในเขตเวเนโต เนื่องจาก มีความเสี่ยงสูงจากการสัมผัสโรคจากการระบาดครั้งก่อนในพื้นที่เดียวกัน ดังนั้น จึงมีมาตรการกำจัดสัตว์ป่วยเป็นการป้องกันไว้ก่อน
               ในสวีเดน ฝูงสัตว์ปีกหลังบ้านยืนยันการตรวจพบเอช ๕ เอ็น ๘


รัฐบาลอังกฤษทบทวนกฏการเลี้ยงสัตว์ปีก
               โรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูงที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรปลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้สั่งการให้ฝูงสัตว์ปีกทั้งหมดเลี้ยงภายในโรงเรือนเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่แพร่กระจายจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ มาตรการดังกล่าวภายใต้โซนป้องกันจะสิ้นสุดลงภายในเดือนนี้
               กระทรวงเกษตร ดีฟราได้ออกมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพทั่วไปประเทศ และยังคงให้สัตว์ปีกในพื้นที่มีความเสี่ยงสูงเก็บสัตว์ไว้ภายในโรงเรือน หรือรั้วรอบขอบชิด แต่จะอนุโลมให้ปล่อยสัตว์ปีกอีกครั้งภายหลังวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์นี้ เพื่อระมัดระวังการระบาดเพิ่มเติม

เชื้อไวรัสไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูงตรวจพบในนกป่า และนกขังกรง
               เชื้อไวรัสไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง สับไทป์ เอช ๕ เอ็น ๘ ตรวจพบในเบลเยียมในนกหลายชนิดที่เป็นนกเลี้ยงในฟาร์มเป็นงานอดิเรก
               รายงานฉบับใหม่เพิ่มเติมที่ส่งให้โอไออีจากเชื้อไวรัสเอช ๕ เอ็น ๘ ยืนยันแล้วในโปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ โรมาเนีย กรีซ สโลวาเนีย เยอรมัน ฟินแลนด์ สวีเดน สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ และเดนมาร์ก

เอกสารอ้างอิง


















ภาพที่ ๑ สงครามต่อสู้กับโรคไข้หวัดนกครั้งนี้ ยังคงเกิดขึ้นในฟาร์มเป็ด และห่าน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส อ้างอิงตามรายงานของกระทรวงเกษตรของโอไออี พบว่า มีการระบาดทั้งหมด ๒๔ ครั้งในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา (แหล่งภาพ Elvis Santana, Freeimages.com)

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กลยุทธ์ด้านโภชนาการลด Woody breast

คุณภาพของเนื้อสัตว์ปีกที่เรียกว่า เนื้ออกแข็งเหมือนไม้ (Woody breast) ในไก่เนื้อ เกิดจากการสร้างเนื้อเยื่อไฟบรัส และความแข็ง
               การเลี้ยงไก่เนื้อที่ให้ผลผลิตสูงอย่างมากในอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกในสหรัฐฯ ผู้ผลิตได้เผชิญกับปัญหาเนื้ออกแข็งเหมือนไม้ บริษัท อะดิสซิโอ และมหาวิทยาลัย Texas A&M ได้ร่วมกันทำงานวิจัยเพื่อลดปัญหานี้โดยอาศัยกลยุทธ์ด้านโภชนาการ และการจัดการ สำหรับปัญหาเนื้ออกแข็งเหมือนไม้ทำให้เนื้อมีลักษณะแข็งเป็นประเด็นปัญหาด้านคุณภาพของเนื้อไก่ มีสาเหตุมาจากการสร้างเนื้อเยื่อไฟบรัส และเนื้อมีลักษณะแข็งน่ารำคาญ รวมถึง ลักษณะเนื้อที่ไม่สวยต้องตาตรึงใจผู้บริโภค ประเด็นนี้พบได้บ่อยมากในไก่เนื้อที่ให้ผลผลิตสูง โดยสามารถจัดแบ่งตามความรุนแรงได้เป็น ๓ ระดับจาก ๐ ถึง ๓ โดยคะแนนที่ระดับ ๓ มีความรุนแรงมากที่สุด       

กลยุทธ์ด้านโภชนาการ
               โภชนาการมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลยุทธ์ที่บริษัท อะดิสซิโอ และมหาวิทยาลัย Texas A&M นำเสนอ ได้แก่ การเสริมโภชนะที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือด และมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในเนื้อ เช่น วิตามิน ซี หรือการเพิ่มพรีมิกซ์วิตามิน การเลี้ยงไก่ให้โตช้าลงโดยการลดความเข้มข้นของกรดอะมิโนในระยะเติบโต (Growing phase) ประมาณ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ เช่น ปรกติให้อาหารที่มีไลซีน ๑.๐๙ เปอร์เซ็นต์ก็อาจลดลงเหลือสัก ๐.๙๓ เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น กลยุทธ์นี้อาจลดระดับคะแนนจาก ๒ ถึง ๓ เป็น ๑ ถึง ๑ ได้ ทำให้เนื้ออกเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นกว่าเดิมมาก อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของโภชนะแต่ละชนิดต่อการเจริญเติบโต การพัฒนา และหมุนเวียนโปรตีนของเนื้ออกนับตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงจับไก่ส่งโรงฆ่า

เอกสารอ้างอิง
Loszach T. 2017. Poultry nutritional strategies to reduce woody breast. [Internet]. [Cited 2017 Feb 1]. Available from: http://www.wattagnet.com/articles/29669-poultry-nutritional-strategies-to-reduce-woody-breast?utm_source=KnowledgeMarketing&utm_medium=email&utm_content=Poultry%20Update&utm_campaign=17_02_02_LI_Poultry%20Update_Thursday&eid=89973158&bid=1652352

















ภาพที่ ๑ เนื้อสันในอกที่ปราศจากปัญหาเนื้อแข็งเหมือนไม้จะมีความแน่นของเนื้อเป็นปรกติ เมื่อตรวจคลำก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแน่นของเนื้อที่ปรกติ (แหล่งภาพ Brian Bowker) 

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สหราชอาณาจักรเผชิญเชื้อ อี.โคไล ดื้อยาปฏิชีวนะ

อัตรากาตรวจพบ เชื้อ อี.โคไล ดื้อยา จากชิ้นส่วนของไก่ในสหราชอาณาจักรจากห้างซูเปอร์มาร์เก็ตพบว่า หากหยิบขึ้นมา ๔ ชิ้นจะพบเชื้อดื้อยา ๑ ชิ้น 
               นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ตรวจสอบเชื้อ อี. โคไล ดื้อยาจากสัตว์ปีกในซูเปอร์มาร์เก็ต ๗ แห่ง ตั้งแต่ เทสโค แอสดา มอร์ริสัน เซนส์เบอรี อัลดี โคออพ และไวโทรส พบว่า ตัวอย่างเนื้อสัตว์ปีก และเนื้อสุกร ๒๔ เปอร์เซ็นต์ให้ผลบวกต่อเชื้อ อี.โคลัย ดื้อยาที่เรียกว่า อีเอสบีแอล ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มที่รู้จักกันดีคือ เซฟาโลสปอริน ที่ใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยระยะวิกฤติ
               ผลการตรวจสอบในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ โดยนักวิจัยคณะเดียวกัน พบว่า ตัวอย่างเนื้อสัตว์ปีก ๖ เปอร์เซ็นต์ และเนื้อสุกร ๔ เปอร์เซ็นต์ มีการปนเปื้อนด้วยเชื้อ อี.โคลัย ดื้อยา อีเอสบีแอล นักวิจัยอ้างว่า แนวโน้มการตรวจพบเชื้อดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเนื้อสัตว์ปีก เชื้อ อี. โคลัย เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของชาวอังกฤษ ๕,๕๐๐ รายเมื่อปีที่แล้วอ้างอิงตามข้อมูลจากสาธารณสุขอังกฤษ เชื้อชนิดนี้พบได้บ่อยมากจากการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจทำให้เกิดปัญหาเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้   
               รายงานการวิจัย สรุปได้ว่า มีการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็นในฟาร์มของสหราชอาณาจักรกำลังส่งผลให้โอกาสในการรักษาโรคติดเชื้อ อี. โคไล ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ลง สภาสัตว์ปีกของสหราชอาณาจักร (British Poultry Council, BPC) อ้างว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็นในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีก แม้ว่า จะพยายามลดการใช้ยาปฏิชีวนะลงถึง ๔๔ เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๑๒
               วิสัยทัศน์ของสภาสัตว์ปีกของสหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับทั้งสุขภาพสัตว์ปีก และความรับผิดชอบต่อการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ยังต้องการค้นคว้าหาความรู้ต่อไป การใช้ยาปฏิชีวนะน้อยลงเป็นการลดความกดดันต่อเชื้อแบคทีเรียที่อยู่บนห่วงโซ่การผลิตอาหารสัตว์ที่จะพัฒนาเชื้อดื้อยา และเรายังมีโอกาสเห็นเชื้อดื้อยาที่ลดลงได้

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรอบคอบ
               หลักเกณฑ์การใช้ยาปฏิชีวนะในการเกษตรกรรม (Responsible Use of Medicines in Agriculture Alliance, Ruma) ตระหนักถึงแนวโน้มเชื้อดื้อยาที่กำลังเพิ่มขึ้น แต่ยังเชื่อกันว่า การดื้อยาในมนุษย์ส่วนใหญ่มาจากการใช้ยาทางการแพทย์เอง
               Ruma อ้างผลการศึกษาเร็วๆนี้ ยืนยันว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มมีส่วนรับผิดชอบต่อผู้ป่วยเพียง ๑ รายใน ๓๗๐ รายเท่านั้น และให้ความสำคัญกับสุขอนามัยในครัวที่ดี ล้างมือภายหลังการจับเนื้อดิบ และปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึงสามารถป้องกันการถ่ายทอดเชื้อดื้อยาจากเนื้อสัตว์ไปยังมนุษย์ลงได้เกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถึงกระนั้น อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาด้วยเช่นกัน
               การจำหน่ายยากลุ่มฟลูโอโรคิโนโลน และยาปฏิชีวนะกลุ่มเซฟาโลสปอรินรุ่นที่ ๓ และ ๔ ที่เป็นยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งมีการใช้กันน้อยมากในสหราชอาณาจักรเพียง ๐.๙ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

สร้างเสริมสุขภาพสัตว์ในฟาร์ม
               ระบบฟาร์มที่สนับสนุนให้สัตว์สุขภาพดี โดยไม่ต้องพึ่งพายาปฏิชีวนะมีความสำคัญต่อสุขภาพมนุษย์ เกษตรกรเกษตรอินทรย์ได้ประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี ซูเปอร์มาร์เก็ตต้องร่วมกันคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค และสนับสนุนให้เกษตรกรเปลี่ยนระบบฟาร์ม

เอกสารอ้างอิง

Case, 2016. UK chicken: Rise in antibiotic-resistant E. coli. [Internet]. [Cited 2017 Feb 4]. Available from: http://www.poultryworld.net/Health/Articles/2016/9/UK-chicken-Rise-in-antibiotic-resistant-E-coli-2885555W/

















ภาพที่ ๑ การทดสอบความไวรับต่อยาต้านเชื้อจุลชีพบนจานเลี้ยงเชื้อ นักวิจัย พบว่า เชื้อแบคทีเรียกำลังดื้อยาเพิ่มขึ้นเนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง และขาดความรอบคอบ (แหล่งภาพ: Jarun Ontakrai) 

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เชื้อดื้อยา “ซูเปอร์บัก” อันตรายต่อทั้งผู้เลี้ยง และผู้บริโภคไก่

นักวิจัยเดนมาร์กเผยเชื้อดื้อยาสายพันธุ์ใหม่ เชื้อ สตาไฟโลคอคคัส ออเรียส ดื้อยาเมธิซิลลิน (MRSA) อาจแพร่สู่มนุษย์ผ่านการสัมผัส หรือบริโภคเนื้อสัตว์ปีกที่ปนเปื้อนเชื้อดื้อยา
               กลุ่มนักวิจัยเดนมาร์กที่สถาบัน Miken Institute SPH และ Statens Serum Institut ในโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก และสถาบัน Translational Genomics Research Institute ใน Flagstaff สำรวจวิวัฒนาการ และระบาดวิทยาของเชื้อแบคทีเรียดื้อยา MRSA สายพันธุ์ใหม่จากการผลิตปศุสัตว์ โดยพบว่า เชื้อดื้อยาเหล่านี้ เพิ่มจำนวน และติดต่อสู่มนุษย์โดยไม่ต้องอาศัยสัตว์ นักวิจัยตีพิมพ์ผลการวิจัยใน Journal Clinical Infectious Diseases อ้างว่า สัตว์ปีก และเนื้อสัตว์ปีก อาจเป็นแหล่งของเชื้อ MRSA ติดต่อสู่มนุษย์ได้ ประชาชนที่อาศัยในเมือง อาจได้รับเชื้อมาจากเนื้อสัตว์ปีกที่มีการปนเปื้อนเชื้อดื้อยา

เชื้อ MRSA
               เชื้อดื้อยาสายพันธุ์ใหม่ เชื้อ สตาไฟโลคอคคัส ออเรียส ดื้อยาเมธิซิลลิน (MRSA) เป็นเชื้อแบคทีเรียสตาฟที่ดื้อยาปฏิชีวนะหลายชนิด ในสถาบันด้านสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล และสถานพยาบาล อาจประสบปัญหาที่ร้ายแรง เช่น การติดเชื้อตามบาดแผลผ่าตัด และกระแสเลือด และปอดอักเสบ จนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต การเพิ่มจำนวนเชื้อ MRSA โดยไม่เกิดการติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่สามารถสังเกตเห็นอาการป่วย เชื้อสตาฟเป็นเชื้อแบคทีเรียตามจมูกที่พบได้ตามธรรมชาติราว ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์ทั้งหมด    
               ปัจจุบัน มีเชื้อ MRSA หลากหลายสายพันธุ์ นักวิจัย ความจริงแล้ว เชื้อเหล่านี้อาจมาจากโรงพยาบาล สถานประกอบการ ชุมชน หรือฟาร์มปศุสัตว์ สายพันธุ์นี้ได้ปรับตัวเข้ากับทั้งมนุษย์ และสัตว์ปีก เชื้อ MRSA ในบางประเทศพบได้ในสัตว์ปีก และสัตว์ที่ใช้ผลิตเป็นอาหาร เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ สัตวแพทย์ และคนงานที่ปฏิบัติโดยตรงกับสัตว์เหล่านี้จึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ MRSA ได้ เป็นข้อเท็จจริงที่ทราบกันมานานหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาที่สถาบัน Statens Serum Institut แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่ได้สัมผัสสัตว์ปีก หรือปศุสัตว์ใดๆก็สามารถได้รับเชื้อ และกลายเป็นแหล่งเพิ่มจำนวนเชื้อ และติดเชื้อด้วยเชื้อ MRSA สายพันธุ์ใหม่นี้ได้ ดังนั้น ผลการวิจัยนี้จึงได้เตือนให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของผลกระทบดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะการสัมผัส และบริโภคเนื้อสัตว์ปีกที่มีการปนเปื้อนเชื้อเป็นแหล่งสำคัญของการติดเชื้อนี้ได้ ขณะนี้ เชื้อ MRSA สายพันธุ์ใหม่นี้ได้ปรับตัวต่อทั้งร่างกายมนุษย์ และสัตว์ปีก และสามารถถ่ายทอดจากอาหารสู่ผู้บริโภคได้ เชื้อ MRSA ยังคงมีวิวัฒนาการต่อไปเพื่อแพร่กระจายจากสัตว์สู่มนุษย์

การวิเคราะห์ทางพันธุกรรม
               นักวิจัยได้ตรวจสอบฐานข้อมูลเชื้อ MRSA ที่ตรวจพบในประเทศเดนมาร์กตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๙ ถึง ๒๐๑๕ โดยใช้การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมของเชื้อ MRSA เปรียบเทียบกับเชื้อที่พบในมนุษย์ ปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศต่างๆในยุโรป เพื่อการวิเคราะห์เปรียบเทียบจาก ๑๑๐ ตัวอย่างของห้องปฏิบัติการต่างๆกันทั่วยุโรป เพื่อตรวจคัดกรองจีโนมสำหรับยีนบางยีน พบว่า ชาวเดนมาร์กที่อาศัยในเขตเมือง จำนวน ๑๐ คน เกษตรกรผู้เลี้ยงมิงก์ ๒ ราย ที่ตรวจพบเชื้อ หรืออาจเริ่มมีการติดเชื้อด้วยเชื้อ MRSA บางชนิด ในจำนวน ๑๐ คนนี้มีการติดเชื้อ MRSA สายพันธุ์ใหม่ที่พบในสัตว์ปีก ตามประวัติไม่มีผู้ใดทำงานในฟาร์ม หรือมีโอกาสสัมผัสกับสัตว์ที่เลี้ยงในฟาร์ม กรณีดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจมาก เนื่องจาก จีโนไทป์นี้ไม่เคยตรวจพบในปศุสัตว์เดนมาร์ก และการสอบสวนทางระบาดวิทยา แสดงให้เห็นว่า ไม่พบผู้ใดใน ๑๐ คนนี้มีความเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงปศุสัตว์ และเชื้อ MRSA จากสัตว์ปีกสายพันธุ์ดังกล่าวไม่เคยพบในปศุสัตว์เดนมาร์กมาก่อนเลย อาจต้องมีการสอบย้อนกลับไปยังเนื้อสัตว์ปีกนำเข้าจากประเทศอื่นๆในสหภาพยุโรป

การแพร่กระจายจากคนสู่คน
               เชื้อ MRSA สายพันธุ์ที่ตรวจพบนี้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสายพันธุ์ที่พบในสัตว์ปีกที่เคยมีรายงานในประเทศต่างๆ แต่ยังไม่เคยมีการตรวจพบในปศุสัตว์เดนมาร์กมาก่อน เชื่อว่า การแพร่กระจายเชื้อ MRSA อาจมากจากอาหาร หรือการถ่ายทอดเชื้อจากคนสู่คน หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการปรากฏของเชื้อ MRSA ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ในประเทศสมาชิกภายในสหภาพยุโรปอื่นๆ แต่มีการนำเข้ามาจำหน่ายในเดนมาร์ก ทำให้เชื่อได้ว่า ชาวเดนมาร์กมีโอกาสได้รับเชื้อโรคเหล่านี้จากการบริโภค หรือการประกอบอาหารที่มีการปนเปื้อนได้ รายงานก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่า การแพร่กระจายเชื้อ MRSA ที่พบในผู้ปฏิบัติงานด้านปศุสัตว์ไปยังสมาชิกภายในครอบครัว ขณะที่ โรงพยาบาล และชุมชน การถ่ายทอดเชื้อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งก็พบได้บ่อย โดยทั่วไปมาจากการสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด เชื้อนี้ไม่เคยพบในปศุสัตว์เดนมาร์กมากก่อน และพบว่า เกิดการแพร่กระจายของเชื้อเหล่านี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้วทำให้การถ่ายทอดเชื้อด้วยวิธีข้างต้นเป็นไปได้น้อย ทำให้นักวิจัยเชื่อว่า การถ่ายทอดเชื้อจากคนสู่คนมีโอกาสน้อยที่จะเป็นสาเหตุของการแพร่กระจายเชื้อในเมือง เนื่องจาก คนเหล่านี้ไม่เคยมีโอกาสสัมผัสกับผู้ปฏิบัติงานด้านปศุสัตว์ หรือมีประวัติเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีเชื้อ MRSA ระบาดประจำถิ่นในปศุสัตว์

อนาคตของเชื้อ MRSA ไม่อาจคาดเดาได้
               น่าสนใจว่า คณะผู้วิจัยหลายกลุ่มได้แสดงให้เห็นว่า เชื้อ MRSA ในปศุสัตว์เป็นเชื้อที่ปรับตัวได้ง่ายมาก เชื้อเหล่านี้สามารถปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ และสัตว์ได้หลายชนิด ทำให้อนาคตของเชื้อ MRSA ในปศุสัตว์ไม่สามารถคาดเดาได้ เป็นสาเหตุอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังโรคอย่างต่อเนื่องระหว่างมนุษย์ และสัตว์ แต่จนถึงปัจจุบัน ยังมีการเฝ้าระวังโรคค่อนข้างน้อยเกินไปที่จะสามารถบอกได้ว่า ปศุสัตว์มีการปนเปื้อนมากน้อยเพียงใด มีสัตว์จำนวนน้อยมากที่มีการปนเปื้อนเชื้อแล้วแสดงอาการป่วย และยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่สำหรับตัวอย่างที่จะมีโอกาสตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม การตรวจหาสายพันธุ์ย่อยต้องอาศัยการเฝ้าระวัง และการทดสอบอย่างเข้มข้น ในสัตว์ปีกตรวจพบสายพันธุ์อื่นๆด้วย แต่ไม่ใช่ชนิดที่พบได้บ่อย อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์ลูกผสมบางสายพันธุ์มีการตรวจพบในประเทศยุโรปหลายประเทศ ในทางตรงกันข้ามกับเดนมาร์ก เชื้อ MRSA แยกได้จากสุกร โค สัตว์ปีก และตลาดค้าปลีกในอีกหลายประเทศของยุโรป รวมถึง ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ เชื้อ MRSA จะไม่พบในเมืองใหญ่ เช่น อัมสเตอร์ดัม หรือปารีส แต่พบได้ตามชนบท แสดงให้เห็นว่า อาหารมีโอกาสเป็นแหล่งการปนเปื้อนได้น้อย ความเสี่ยงจะยิ่งน้อยลงอย่างมาก หรือเกือบหมดไปเลย หากประชาชนใส่ใจต่อสุขอนามัยในครัว เราสามารถลดความเสี่ยงลงได้ด้วยสุขอนามัยพื้นฐานในครัว ไม่สัมผัสจมูก เมื่อไปจับกับเนื้อสัตว์ ไม่หั่นผักด้วยมีดอันเดียวกับที่ใช้หั่นเนื้อดิบ ปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึง

ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ
               แม้ว่า ผลิตภัณฑ์จากเนื้อจะมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อ MRSA ไปยังมนุษย์ได้น้อย นักวิจัยเดนมาร์กก็ได้เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการลดการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ที่ใช้ผลิตเป็นอาหาร การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการป้องกันนำไปสู่ปัญหาเชื้อดื้อยา ซูเปอร์บัก เช่น เชื้อ MRSA สายพันธุ์ใหม่ นักวิจัย แนะนำให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ยาปฏิชีวนะให้น้อยที่สุดตามความจำเป็น และใช้ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อดื้อยาได้
               ส่วนใหญ่เรามักคิดถึงผู้ป่วย ๑๐ รายในระยะเวลา ๑๐ ปี สายพันธุ์เหล่านี้ไม่ปรกติอย่างมาก แต่สามารถพิสูจน์แนวความคิดที่ว่า เราจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังโรคที่ดีทั้งสัตว์ อาหาร และมนุษย์ ผู้ตรวจสอบอาหารไม่ค่อยจะตรวจสอบการปนเปื้อนเชื้อ MRSA ในสัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์อาหาร แต่มุ่งสนใจแต่เชื้อ ซัลโมเนลลา และเชื้อก่อโรคอาหารเป็นพิษอื่นๆ หากยังไม่สามารถควบคุมยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ได้ก็จะเกิดเชื้อ MRSA สายพันธุ์ใหม่ในปศุสัตว์ ดังนั้น หน่วยงานราชการ และผู้ประกอบการควรทำงานร่วมกัน ขณะนี้ เชื้อ MRSA ยังไม่มีนัยยะทางการเมือง และประเทศต่างๆที่อยู่ใกล้กันควรร่วมมือกันจัดการเชื้อดื้อยา หากเราไม่สามารถควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะไว้ได้ก็จะปรากฏเชื้อ MRSA สายพันธุ์ใหม่ขึ้นในปศุสัตว์อุบัติขึ้น และเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพมนุษย์ร้ายแรงกว่าที่เราเคยเผชิญหน้ามาก่อน

พื้นฐานยาปฏิชีวนะ
               นับตั้งแต่ยาปฏิชีวนะเริ่มต้นใช้กันตั้งแต่ทศวรรษ ค.ศ. ๑๙๔๐ เป็นต้นมา เชื้อแบคทีเรียก็เริ่มดื้อยา กลไกของยาปฏิชีวนะที่เกิดการดื้อยาเป็นไปตามธรรมชาติ แพทย์ฆ่าเชื้อก่อโรคที่มีความไวรับต่อยา และสร้างสิ่งแวดล้อมที่เชื้อก่อโรคที่ไม่ดื้อยาให้เจริญเติบโต กลไกเหล่านี้ไม่เคยมีปัญหมามาเป็นเวลานาน เนื่องจาก ยาปฏิชีวนะอื่นๆอีกหลายตัวกลับไปได้ผลดี อย่างไรก็ตาม การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป และผิดวิธี กระตุ้นให้เชื้อก่อโรคมีวิวัฒนาการที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่ง มนุษย์กำลังไม่มีทางเลือกสำหรับการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียอีกต่อไป โดยเฉพาะ การสถาปนาของเชื้อแบคทีเรียต้านยาพร้อมกันหลายชนิดที่เรียกว่า ซูเปอร์บัก กลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง ประชาชนมากกว่า ๕๐,๐๐๐ คนต่อปีต้องเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาที่ในอดีตเคยรักษาได้ไม่ยาก
                 แหล่งของเชื้อดื้อยาอาจมาจากหลายทาง ทั้งจากธรรมชาติ ไปสู่มนุษย์ ทุกวิถีทางมุ่งไปยังสัตวบาลผู้เลี้ยงสัตว์ และการบำบัดน้ำที่ไม่ดี การลดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะเป็นภารกิจสำหรับทุกภาคส่วนที่ต้องทำหน้าที่ของตนเอง องค์การอนามัยโลก สรุปว่า การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่เหมาะสมในการเลี้ยงสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญของการอุบัติใหม่ และการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา ดังนั้น การใช้ยาปฏิชีวนะ เป็นสารเร่งการเจริญเติบโตในอาหารสัตว์ควรต้องมีการควบคุม สำหรับ OIE ได้เพิ่มเติมกฏระเบียบด้านสุขภาพสัตว์เลี้ยงบนบก เป็นแนวทางให้ประเทศสมาชิก สร้างสรรค์ และร่วมกันวางแผนการเฝ้าระวัง และตรวจติดตามเชื้อดื้อยาระดับชาติ และได้ออกข้อแนะนำเพื่อสร้างความมั่นใจต่อการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง และรอบคอบ รวมถึง คำแนะนำอื่นๆ ที่ช่วยจัดการความเสี่ยง และประเมินความเสี่ยงของเชื้อดื้อยา   
เอกสารอ้างอิง

Teuling, M. 2016.  Farmers should do their utmost to ensure good hygiene. World Poultry 2016-9. 

















ภาพที่ ๑ เชื้อ เอสเชอริเชีย โคไล ซูโดโมนาส แอโรจิโนซา ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส เคลบเซลลา สแตฟิโลคอคคัส ออเรียส และเชื้อเอ็มอาร์เอสเอ เป็นเชื้อซูเปอร์บัก (แหล่งภาพ: Kateryna Kon)  

วัคซีนหวัดนก ความจริงที่ถูกกลบด้วยความกลัว

  ดร.เดวิด สเวย์น กล่าวว่าจำเป็นต้องมี “การเปลี่ยนกรอบความคิด” เพราะในความเป็นจริง สัตว์ปีกที่ได้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าสัตว์ปีกที่ไม่...